ดูต้นฉบับสำหรับ สุขภาพพระครูปริยัติกิตติวรรณ

*[[วิปัสสนาร่างกาย]]
*[[สุขภาพใจพระครูปริยัติกิตติวรรณ]]
*[[AI ให้ความรู้เรื่องสุขภาพ]]
===ปี 2555===
วิธีดูแลป้องกันและรักษา   เพื่อสุขภาพ  พระมหาวีระ    กิตฺติวณฺโณ<br>
จากคำแนะนำ และข้อมูล  ของหลาย ๆ ท่าน   หลายแหล่ง และหลายศาสตร์<br>
เรียกโรคนี้ว่า  “การเจ็บป่วยเรื้อรัง วิบากกรรมร้ายแรง     (เศษกรรม ๓ ทวารต่างกรรมต่างวาระท่วมทับ)”           เป็นโรคที่ต้องดูแล ป้องกันและรักษาตลอดชีวิต<br>

๑.	ดื่มน้ำเปล่าให้มาก ๆ     ในแต่วันอย่าปล่อยให้ร่างกายขาดน้ำ<br>
๒.	ลดปริมาณอาหารแป้งและน้ำตาลในแต่ละมื้อ  (ฉันข้าว มื้อละ ๑ จาน)<br>
๓.	ฉันกระเทียมซอย จำนวน ๗ กลีบใหญ่  ผสมน้ำมะนาว  วันละ ๒ ครั้ง พร้อมกับการฉันภัตตาหารเช้า-เพล<br>
๔.	ฉันภัตตาหาร(กับข้าว) ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ปราศจากสารพิษตกค้าง<br>
๕.	อาหารที่พึงละเว้น ที่ประกอบด้วยน้ำตาล เกลือ ไขมัน  เกินกำหนด  เช่น  ของหวาน  อาหารที่หวาน  อาหารที่เค็ม  อาหารที่มีไขมัน ของหมักดอง  หรืออาหารบางอย่าง เช่น เนื้อไก่   เครื่องในสัตว์  หน่อไม้   ข้าวเหนียว    รสจัด   เผ็ด  เป็นต้น<br>
๖.	ดื่ม/ฉันยาสมุนไพรขับสารพิษเป็นระยะ ๆ<br>
๗.	นั่งสมาธิอย่างต่อเนื่อง เช้า สาย บ่าย เย็น เพื่อรักษาบรรยากาศที่เอื้อต่อสุขภาพและรักษาความสมดุลของร่างกายกับจิตใจ<br>
๘.	เดินจงกรมสลับกับการนั่งสมาธิ  เพื่อการปรับอิริยาบถ และเป็นการออกกำลังกาย<br>
๙.	จัดบรรยากาศ หรือ อยู่ในบรรยากาศที่เอื้อต่อการดูแลป้องกันรักษาสุขภาพ   เว้นบรรยากาศที่แสลงต่อโรค<br>
๑๐.	สำคัญ คือ รักษาใจให้สดใส  ผ่องใส อย่างต่อเนื่อง<br>
๑๑.	ฝึกตนกระทำทุกวันให้คุ้นชิน กลายเป็นนิสัยถาวร<br>

ถ้าไม่ดูแล ป้องกันและรักษาสุขภาพดังที่กล่าวนี้  จะทำให้สุขภาพย่ำแย่ มีชีวิตอยู่อย่างทนทุกข์ทรมาน  ถ้าทำได้จะเกิดสุขภาพแบบ  “อยู่เย็นเป็นสุขอย่างแท้จริง”<br>

๕ ธ.ค. ๕๕<br>

บันทึกการปฏิบัติธรรม ดูแลสุขภาพวันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๕๕ (วันเต็มรูปแบบ)  นับเป็นวันที่ ๓<br>
-	ลุกนั่งสมาธิ ตี 4  เป็นเวลา  1 ชม.<br>
-	6.30 เดินจงกรม   40 นาที<br>
-	ฉันเช้า ข้าวกับปลาทู ถั่ว<br>
-	ฉันเสร็จเดิน 30 นาที  <br>
-	นั่งสมาธิ 2 ชม.<br>
-	เดิน 10 นาที<br>
-	เพลข้าวกับผัก<br>
-	เดิน 1 ชม.<br>
-	นั่งสมาธิ 2 ชม.<br>
-	เดิน 1 ชม.<br>
-	นั่งนั่งสมาธิหลังทำวัตร 30 น.<br>
-	ก่อนจำวัด  1ชม.<br>
-	ดื่มน้ำทั้งวัด  6 ลิตร<br>
-	กำลังกาย กำลังใจ ดีขึ้นอย่างชัดเจน<br>
-	กำลังใจจะมั่นใจในการต้อนรับโยม/ชวนโยมทำบุญ<br>
-	การฝึกตนอย่างนี้ จะทำหน้าที่เจ้าอาวาสได้อย่างดีต่อไป<br>

===ปี 2559===
ขอเชิญร่วมงานบุญวัฒนธรรมชาวพุทธสร้างสุขภาพ<br>
แต่งชุดขาวสวดมนต์เสริมสิริมงคลให้แด่ตนและนั่งสมาธิด้วย<br>
เวลา 9.00 -13.00 น. ณ วัดสะเดารัตนาราม<br>
จัดเดือนละครั้ง<br>
13 มกราคม 2559 <br>

===ปี2562===

เหตุการณ์ สุขภาพ พระมหาวีระ   กิตฺติวณฺโณ   <br>
ป่วย เดือน เมษายน  ทุกปี<br>
ปี ๒๕๕๒	ติดตามข่าว ดีสเตชั่น  อยู่ดึก ตื่นดึก ตี ๕  เริ่มปลายมีนาคม  เริ่มป่วย ต้นเมษายน ปีนี้ป่วยไม่หนักนัก<br>
ปี ๒๕๕๑   เรียนรู้อินเตอร์เน็ต  บางคืนโต้รุ่ง  เริ่มกลางเมษายน   ป่วยปลายเมษายน<br>
ปี ๒๕๕๐   ร่วมเรียกร้อง บรรจุพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ  เดินจากพุทธมณฑล – รัฐสภา   ป่วยหนักมาก ปลายเมษายน  <br>
๑.	ร่างกายอ่อนเพลีย<br>
๒.	พักผ่อนไม่เพียงพอ<br>
๓.	อากาศร้อน<br>
๔.	อากาศเย็น / ฝนตก<br>
๕.	ลืมห่มผ้า
=  ป่วย
ครั้งใดที่ป่วยหนัก  เพราะละเลยการแก้ไขอาการป่วยแต่ต้น ๆ<br>

สรุปการเรียนรู้สุขภาพ      ๑๔  เมษายน   ๒๕๕๒  <br>

===6 กรกฎาคม 2562===
๖ กรกฎาคม ๒๕๖๒  
บันทึกร่างกายอ่อนแอ  ภูมิต้านทานต่ำ อากาศจึงเป็นพิษ<br>
ตื่นเช้ามารู้สึกมึนๆ    เมื่อวัดความดัน ความดันสูง ๑๔๒/๙๐  มันพะอืดพะอมเหมือนเมา  คงจะเกิดจากการทำงานหนัก เมื่อวานนั่งนาน อยู่ในห้องที่ลืมเปิดเครื่องฟอกอากาศ ขณะที่อากาศภายนอกชื้น  ใช้สมองมาก ดื่มน้ำน้อยมัน   ภาวะตึงเครียด   อากาศภายในห้องมันน่าจะอับชื้น  อากาศไม่บริสุทธิ์พอดีลืมเปิดเครื่องกรองอากาศ ๒-๓  วัน  เมื่อคืนรู้สึกหนาว อุณหภูมิในร่างกายคงสูง ตื่นมาก็ไม่หลับ 
อากาศออกซิเจน คือส่วนสำคัญที่มีผลให้กลายเป็นพลังงานของร่างกาย ออกซิเจนน่าจะมีธรรมชาติลื่นไหล ทำให้เกิดผลดีต่อการไหลเวียนของเลือด ออกซิเจนช่วยในการลำเลียงเลือดคล่องตัวดี พูดว่าเลือดไหลเวียนสะดวก เมื่อเราขาดออกซิเจน หรือมีคาร์บอนไดออกไซด์ที่มีลักษณะอับชื้น อากาศหนืด มีน้ำหนักมากกว่าออกซิเจน เมื่อเข้าสู่ระบบหลอดเลือด ก็ทำให้ระบบไหลเวียนของเลือดมันหนืดเป็นที่มาของความดันสูง ฉะนั้นออกซิเจนที่มากับน้ำดื่ม หรือที่มากับลมหายใจลึก ๆ จึงเป็นธรรมชาติบำบัดป้องกันความดันสูงป้องกันการป่วยการเป็นไข้ ตัวร้อน หรืออาการคั่นเนื้อคั่นตัว มึนงง มึนหัว ฯ<br>
เมื่อเช้าตื่นมามึนๆ งงๆ ก็ตอน  ๖ โมงครึ่งต้องนวดเพื่อให้ออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายพะอืดพะอมเมื่อวานไม่ได้ถ่าย หลังถ่ายเข้าไปในห้องแล้วมึน อาเจียน   วันนี้ต้องอยู่นอกห้อง
ร่างกายอ่อนแอมาหลายวันมันมีปรากฏการณ์ก็คือมีแผลที่นิ้วเท้ามีแผลมีหนองบวมมีอาการที่เอวด้านหลังเหมือนเริ่มเหมือนโรคผิวหนังน่าจะเป็นอาการของแบคทีเรียขยายตัวแล้วก็มีการต่อสู้กับเลือดขาว<br>
เช้าวันนี้จึงมีความคิดว่าออกซิเจนสำคัญรักษาการเจ็บไข้ได้ป่วยด้วยออกซิเจนน่าจะดีอนาคตวัดต้องมีห้องพยาบาลมีเตียงพยาบาลกลับได้มีถังออกซิเจน<br>
ตอนให้โยมสองคนเริ่มนวดเขาจะรู้สึกร้อนเนื้อมันร้อนแต่นวดไประยะหนึ่งก็เริ่มคลายลงเริ่มเย็นลงก็เป็นที่ว่าอากาศหมุนเวียนดีเริ่มผายลมเริ่มมีลมออกจากปาก<br>
อาการแบบนี้จะมีลักษณะเหมือนกันทุกครั้งก็คือไม่ได้ขับถ่ายมันมีอากาศหมักมุมเหมือนเป็นอาหารเป็นพิษอากาศในลำไส้เป็นพิษร่างกายขาดออกซิเจนมันมีคาร์บอนคาร์บอนไดออกไซด์เยอะหรือลำไส้ดูดซับอากาศไม่ดี<br>
เลือดหนืดอากาศเป็นพิษสมองขาดเลือดหรือสมองขาดออกซิเจนมีอาการช็อค shop ทางสมองเกิดเป็นลมเรียกว่าเป็นลมป่วยฉับพลัน<br>
อาการแบบนี้เกิดอนุมูลอิสระขึ้นฉับพลันเป็นอนุมูลอิสระจำนวนมาก  ร่างกายอ่อนแอมีองค์ประกอบเยอะมากที่ทำให้ป่วยเข้ารอบนี้   ยามเย็นฟื้นตัวได้ปกติ<br>

===ปี 2565===
*วันที่ 3 พฤษภาคม 2565   ของหวาน + ฉันไส้กรอก จำนวนหนึ่ง ที่ซื้อระหว่างทาง  เหมือนมีรสชาดค้างคืน  ไม่สด + ข้าวต้มมัด 2 อัน + นมกล่อง + น้ำตาลอ้อย    บรรยากาศฝนตกพรำทั้งวัน  อากาศเย็น   มีอาการผายลมบ่อย  อยากถ่ายแต่ไม่ออก   ดื่มน้ำน้อยเพราะอากาศเย็น  เติมของหวาน  ช่วงเย็นเหมือนจะจาม  นั่งสมาธิเกิดตะคริวขานิดหนึ่ง ปัสสวะก่อนเข้าห้อง แล้วไม่ได้ดื่มน้ำ<br>
*เช้าวันที่ 4 พฤษภาคม 2565   ตื่นตี 4  รู้สึกปวดหัว    อยากถ่ายแต่ไม่ถ่าย   สรุปมาจากอาหารเป็นพิษ  ร่างกายต้องการสภาพด่าง หรือเบส <br>
*ตี3.40 น. วันที่ 15 พฤษภาคม 2565  รู้สึกปวดหัว    ได้กำหนดรู้ตั้งแต่บ่ายเมื่อวาน   ความน่าจะเป็นคือ  แพ้ไอกรีม  ในไอศกรีม มีสารอะไรแน่  คงมีอะไรในไอศกรีมที่ส่วนให้เกิดอาหารเป็นพิษ  คล้ายว่าไอศกรีมคืออาหารบูด อาหารเสีย  หรือเพราะว่า อาหารที่มีน้ำตาลหลายรอบ   (ก๋วยเตี๋ยวเติมน้ำตาล + ไอศกรีม+น้ำหวาน 1 แก้ว)
*27 พฤษภาคม 2565 มีอาการง่วง ขี้เกียจ  ไม่เพลิดเพลินแม้กับความคิดใหม่ๆ

*28 พฤษภาคม 2565     สัมมาวิริยะกับการฉันภัตตาหารเพื่อดูแลโรคเบาหวาน<br>
อาหาร 1 มื้อคือการฉันอาหาร 1 มื้อ<br>
การฉันอาหารระหว่างมื้อแม้เพียงลูกอม 1 เม็ดก็มีผลให้อินซูลินหลั่งได้ 1 ครั้ง<br>
การฉันอาหารวันละ 2 มื้อแท้จริงเป็นเช่นนั้นหรือไม่<br>
การหลั่งอินซูลินบ่อยๆก่อให้เกิดอาการแทรกซ้อนของน้ำตาล  พฤติกรรมก่อโรคมากมาย<br>
การฉันน้ำเปล่าหรือผักไม่ก่อให้เกิดการหลั่งของอินซูลิน<br>



เพียรขยันฝ่าสิ่งเร้ารบกวนใจ<br>
อายตนะในไม่เชื่อมดูดสิ่งภายนอก<br>
ลดน้ำตาลแป้งขาวสิ่งเร้าพอก<br>
ลดการกรอกอาหารลงเกินเลย<br>
28 พฤษภาคม 2565<br>

*13-28 มิถุนายน 2565  สภาพร่างกายเป็นกรด เกิดแผลผุพองที่เท้าซ้าย 2 แผล (อาจเกิดต่อเนื่องจากแผลที่เท้าด้านขวาที่เกิดจากไฟลวก) ก่อนที่เกิดแผลขาซ้ายมีงานศพ 2 ศพ คิดต่อกัน คือ ยายเหลี่ยม สินประโคน แล้วยายทูล สายสู่  มีการพักผ่อนไม่เพียงพอจากงานศพ ฉันเนื้อมากไป  ฉันของหวานบ่อย  ช่วงที่ต้องทำงานแก้ปัญหาในตำบลอย่างรีบเร่ง ใช้สมองมากต่อเนื่อง ร่างกายอ่อนเพลีย ร้อนที่แผลหน้าแข็ง วันที่14 มิ.ย.อดเพล (ช่วงนี้มีการอดเพล 2 ครั้ง  การอดเพลมีผลต่อร่างกายอ่อนเพลียทุกครั้ง)  วันที่15 เจินจูงศพที่บ้านแพงพวย 1.5 ก.ม.  ฉันพริกร้อนท้อง  วันที่16 ฉันทุเรียน   อาการทั้งหมดเหมือนติดเชื้อในกระแสเลือดอ่อน ๆ     อาการดูปกติเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2565

*ร่างกายฉันมีประสาทสัมผัสที่เร็วขึ้นอย่างชัดเจน ผลจากการฝึกตนมาอย่างต่อเนื่อง<br>
ความรู้สึกที่รวดเร็ว เมื่อร่างกายขาด หรือมีจำนวนน้อยนั้นมี 3 อย่าง คือ<br>
๑.เมื่อร่างกายขาดน้ำ หรือน้ำในร่างกายมีปริมาณลดลง<br>
๒.เมื่อร่างกายขาดอาหาร (ข้อนี้รับรู้ไม่เร็วนัก เพราะนำเข้าร่างกายตามเวลาและเป็นประจำสม่ำเสมอ)<br>
๓.เมื่อร่างกายเกิดการอ่อนเพลียเพราะเหตุต่าง ๆ ซึ่งขณะนั้นประมาณการได้ว่าความชุ่มซื้นของเซลล์ลดลง ร่างกายต้องการเติมอากาศออกซิเจนให้มากพอ  วิธีการที่ดีที่สุด คือ การนั่งนิ่ง ๆ หลับตา แล้วหายใจลึก ๆ สูดอากาศเต็มปอด ใช้เวลาระยะนานเป็นชั่วโมง   ความอิ่ม ๒ อย่างเกิดขึ้นพร้อมกัน คือ กายมีแรง ใจอิ่มเอม เป็นอันว่าได้แก้ไขปัญหาที่ร่างกายฟ้องขึ้นนั้น<br>
21 สิงหาคม 2565

เหตุที่ร่างกายไม่อ้วน<br>
#การดื่มน้ำมาก ปัสสวะมาก  ล้างน้ำมันออกได้
#การหายใจลึก
#การนั่งสมาธิ<br>
16 กันยายน 2565

ตี 4 เช้ามืดวันที่ 8 พ.ย.2565  เริ่มมีอาการเท้าเกร็งจุกที่กล้ามเท้าซ้าย <br>
กลางวันดื่มของหวานมากไปหลายแก้ว (5 แก้ว)<br>
ตอนบ่ายจัดการขยะ เผาขยะ สูดควัน ไม่ได้ดื่มน้ำจนถึงตอนเย็น 17.30 น. -19.00 น.นั่งสมาธิชั่วโมงกว่าก็ไม่ได้ดื่มน้ำ  ลืมดื่มน้ำตั้งแต่เที่ยง<br>
กล้ามเนื้อเกร็ง/เครียด  น้ำตาลในร่างกายมาก  ขาดน้ำ  เลือดหนืด ความดัน  สมองรับเลือดได้น้อย<br>
9 พ.ย.2565<br>

เจือมเนื้อตัวเก็บกายในที่ตั้ง<br>
คิดระวังรายจ่ายนานาหนัก<br>
เกรงใจชนญาติโยมนักยิ่งนัก<br>
วิกฤตชักนำเนื่องเกี่ยวข้องกัน<br>
ประชาชีลำบากพรากอาหาร<br>
ทุกเรือนบ้านขาดแคลนทุกข์หวาดหวั่น<br>
โลกผันแปรผลิตพืชสัตว์ยากทุกวัน<br>
บรรลัยคั้นบีบเค้นต้องเจียมกาย<br>
28 พฤศจิกายน 2565<br>


===ปี2566===
*วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2566   น้ำตาล 316   ความดัน 164/66  น้ำหนัก 64

*ในหน้าร้อน ที่ขาดการเติมเต็มสมาธิที่แน่นหนัก<br>
จึงเกิดอาการเบาเนื้อเบาตัวและเบาใจ กระสับกระส่าย<br>
ร่างกายและจิตใจ ทำการฟ้องเพื่อการเรียกร้องหาสมาธิที่มีคลื่นยาว ๆ หนักแน่นมากขึ้น<br>
29 มีนาคม 2566 <br>

*วันที่ 13 เมษายน 2566 เจาะเลือด น้ำตาล 297

===ปี2567===

เมื่อร่างกายอ่อนแอ ภูมิคุ้มกันก็ลดลง  สามารถที่จะแพ้อากาศที่ไม่ปกติ เช่น แสดงอาการแพ้อากาศห้องแอร์
อาการแพ้แสดงออกมาคือการจาม น้ำมูกไหล 
อาการนี้แสดงว่าเจ้าของร่างต้องบำบัดรักษาให้เร็วไม่อย่างนั้นแล้วจะเกิดอาการทรุดถึงไข้ขึ้นและเรียกว่าก็ป่วย

วิธีการบรรเทาหรือรักษา
1.ต้องผ่อนคลายกล้ามเนื้อร่างกาย  ลดอาการเกร็งของร่างกาย
2.การผ่อนคลายนั้นมีความสัมพันธ์กับออกซิเจน อากาศบริสุทธิ์ 
3.ประสบการณ์บอกว่าให้อาบน้ำให้เปลี่ยนผ้า ซักผ้า ให้นอนผ่อนคลายในอากาศที่ถ่ายเท
4.การขับถ่ายการถ่ายท้อง การผายลม เป็นวิธีการหนึ่งที่จะช่วยลบของเสียในร่างกาย หรือลดการดูดซับสิ่งปกติหรือหมักหมม  
5.การดูแลรักษาต้องนำไปสู่การนอนหลับให้ได้ดีขึ้นเป็นตัววัดว่า กระบวนการรักษานั้นถูกต้อง

สิ่งที่มีอยู่แล้ว
ฟ้าทะลายโจร

วัสดุที่ต้องการ
1.ยาระบายท้อง
2.น้ำมันนวดคลายเส้น

21 มีนาคม 2567


คราวเข้ารับ ป.โท (ธันวาคม 2565) ก็มีอาการเป็นเช่นนี้ หลังกลับถึงวัดป่วยหนักและนานด้วย

ครั้งนั้นกับครั้งนี้ มีสิ่งที่เหมือนกัน คือ 
1.การเดินทาง การร่วมกิจกรรม การนั่งนาน 
2. กล้ามเนื้อขาเกร็ง ตระตุก ตึงเครียด เมื่อย ผิดอาการ
3.ฉันอาหาร แล้วนั่งนาน
4.การนอนหลับไม่ปกติ

จึงคิดว่า
เมื่อร่างกายอ่อนแอ ภูมิคุ้มกันก็ลดลง  สามารถที่จะแพ้อากาศที่ไม่ปกติ เช่น แสดงอาการแพ้อากาศห้องแอร์
อาการแพ้แสดงออกมาคือการจาม น้ำมูกไหล 
อาการนี้แสดงว่าเจ้าของร่างต้องบำบัดรักษาให้เร็วไม่อย่างนั้นแล้วจะเกิดอาการทรุดถึงไข้ขึ้นและเรียกว่าก็ป่วย

วิธีการบรรเทาหรือรักษา
1.ต้องผ่อนคลายกล้ามเนื้อร่างกาย  ลดอาการเกร็งของร่างกาย
2.การผ่อนคลายนั้นมีความสัมพันธ์กับออกซิเจน อากาศบริสุทธิ์ 
3.ประสบการณ์บอกว่าให้อาบน้ำให้เปลี่ยนผ้า ซักผ้า ให้นอนผ่อนคลายในอากาศที่ถ่ายเท
4.การขับถ่ายการถ่ายท้อง การผายลม เป็นวิธีการหนึ่งที่จะช่วยลบของเสียในร่างกาย หรือลดการดูดซับสิ่งปกติหรือหมักหมม  
5.การดูแลรักษาต้องนำไปสู่การนอนหลับให้ได้ดีขึ้นเป็นตัววัดว่า กระบวนการรักษานั้นถูกต้อง

สิ่งที่มีอยู่แล้ว
ฟ้าทะลายโจร

ครั้งนี้จึงที่จัดหา
1.ยาระบายท้อง
2.น้ำมันนวดคลายเส้น

ต่อด้วยการแช่เท้า

หลังแช่เท้า  เอาผ้าพันคอไว้  ห่มหน้าอก
สวมถุงเท้า
การนอนไม่กระสับกระส่าย
หลับได้ทั้งคืน

22 มีนาคม 2567


การร่วมประชุมหรือสัมมนาหรืออบรม  ที่มีอาหารแปลก ๆ ต้องนั่งนานและอยู่ในห้องแอร์ ในระยะเวลา 3 วันขึ้นไป  เป็นบรรยากาศที่นำไปสู่
อาหารเป็นพิษ
เริ่มต้นที่อาหารเป็นพิษ
ทำให้เลือดลมเดินไม่สะดวก
หลังจากนั้นระบบร่างกายก็จะเริ่มรวนมันจะเรียกหาจุดอ่อนของร่างกายเรียกหาโรคประจำตัวเข้ามาเสริม

โรคที่เป็นจุดอ่อนของร่างกาย เป็นโรคอ่อน ๆ  คือภูมิแพ้และน้ำเหลืองเสีย

22  มีนาคม 2567

ประโยชน์แช่เท้า<br>
1.ขับเหงื่อออกที่หน้าผาก คอ หน้าอก<br>
2.ขับลมที่ท้อง  ถ้าอาหารเป็นพิษจะอาเจียน /ผายลมเสียออกมา<br>
3.ให้ลม เลือด ไหลเวียน <br>
4.ทดแทนการอบสมุนไพร<br>
5.เสริมภูมิต้านทานให้กับร่างกาย<br>
27 พฤษภาคม 2567

*30 สิงหาคม 2567  งดหวาน [https://www.facebook.com/pramahaweera/posts/pfbid02FXs1hr2c3U9Gig4TsWJrMh2bT925FDhJsJnXLmm4wBaBtqiR8tFUGfNPGBZcm3Bdl]


*22 กันยายน 2567  น้ำตาลในเลือด  319   เช้ามืด
*23 กันยายน 2567  น้ำตาลในเลือด  287   เช้ามืด

===ปี 2568===

*26 มกราคม 2568  น้ำตาลในเลือด  232   เช้ามืด  ดื่มน้ำแล้ว