ความเกรงใจ
ความเกรงใจ
ความเกรงอกเกรงใจเมื่อบวกกับการค้นหาและเห็นประโยชน์ที่ผู้อื่นพึงจะได้รับ กลายเป็นความอ่อนโยน ปล่อยวาง ดำเนินงานอย่างธรรมชาติ
1.ความคิดเกรงใจว่าจะเป็นการเบียดเบียนเวลา เบียดเบียนทุนทรัพย์ผู้อื่นมากน้อยไหม หรือไม่ กระทบความเป็นอยู่การเลี้ยงชีวิตตนและครอบครัวไปมากน้อยขนาดไหน
2.ความคิดเกรงใจว่าจะบีบคั้นกระบวนการทางความนึกคิดผู้อื่นเกินเลยมากน้อยขนาดไหน เพราะการอบรมบ่มนิสัย การแนะนำผู้อื่น จำต้องให้ผู้นั้นๆ มีฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสาด้วยตนเองคุณธรรมต้องเพาะให้เกิดขึ้นจากภายในบุคคลเรียกว่าโยนิโสมนสิการสำคัญกว่าความรู้ที่เกิดจากภายนอกหรือปรโตโฆสะ พระสงฆ์จะมีบทบาทเป็นเพียงผู้ชี้ทางเท่านั้น นี้เป็นกัลยาณมิตรผู้แนะนำอย่างอ่อนโยนแนะนำอย่างเป็นธรรมชาติ มิควรบังคับให้เกิดการจดจำที่มากกว่าเกิดความเข้าใจ
3.การเบียดเบียนการบังคับเกินเลยจะก่อให้เกิดแรงต้านหรือความนึกคิดที่ต่อต้านจากผู้อื่นหรือไม่ เพราะความคิดต่อต้านภายในจิตใจไม่ก่อประโยชน์ต่อการพัฒนาคนให้เป็นผู้เหมาะแก่การงานทั้งปวง
4.ขณะที่เกิดความเกรงอกเกรงใจในการนำพาสู่ความดีจำต้องพิจารณาประโยชน์ที่คนอื่นพึงจะได้รับและพิจารณาว่าผู้นั้นสามารถที่จะพิจารณาเห็น(โยนิโสมนสิการ)ประโยชน์ ความสามารถรับประโยชน์ได้มากน้อยอย่างไร
5.ใช้ความอ่อนโยนหรือการเห็นคุณค่าของบุคคลคนอื่น บุคคลนั้นที่ได้ทำความดีเป็นเบื้องต้นก่อนแล้ว สร้างความคุ้นเคย ไว้วางใจ สบายใจให้เกิดในใจเขา ซึ่งนั่นคือจิตสิกขาหรือสมาธิความสงบภายในใจของบุคคลนั้นๆ ได้เกิดขึ้น เพื่อให้คุณธรรมภายในจิตใจของบุคคลนั้นได้เติบโตขึ้นเองแบบวิวัฒนาการ
บันทึก 20 ต.ค.2563