ประวัติศาสตร์ตำบลทุ่งมน

จาก wiki.surinsanghasociety
(ต่าง) ←รุ่นแก้ไขก่อนหน้า | รุ่นแก้ไขล่าสุด (ต่าง) | รุ่นแก้ไขถัดไป→ (ต่าง)
ไปยังการนำทาง ไปยังการค้นหา

ตำบลทุ่งมนทางวิกิพีเดีย[1]

  • กุมภาพันธ์ 2480 ตำบลทุ่งมน ยังขึ้นอำเภอเมืองสุรินทร์ [2]
  • 4 มีนาคม 2480 จัดตั้งอำเภอปราสาท [3]


ข้อมูลพื้นฐานของตำบลทุ่งมน

เพื่อให้เห็นถึงเหตุผลที่ทางวัดสะเดารัตนาราม มีความพยายามในการสร้างบทบาทต่อการขัดเกลาจิตใจศาสนิกชน ให้รู้คุณค่าของชีวิตตนเองและชีวิตผู้อื่น สามารถอยู่อยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสันติสุขผ่านกองบุญคุณธรรมวัดสะเดารัตนาราม จึงต้องศึกษาข้อมูลพื้นที่ของตำบลทุ่งมน แบ่งเป็น ๓ หัวข้อ คือ ๑) สภาพทั่วไปของตำบลทุ่งมน ๒) ลักษณะพื้นที่ทางกายภาพตำบลทุ่งมน ๓) ประวัติศาสตร์ชุมชนตำบลทุ่งมน ๔) ด้านเศรษฐกิจ การศึกษา ศาสนา วัฒนธรรม ทรัพยากรสิ่งแวดล้อม และแหล่งเรียนรู้ ภายในตำบลทุ่งมน แต่ละหัวข้อจะได้นำมาศึกษาดังนี้

  • สภาพทั่วไปของตำบลทุ่งมน

ตำบลทุ่งมน เป็น ๑ ใน ๑๘ ตำบลของอำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของที่ว่าการอำเภอปราสาท ห่างจากตัวอำเภอปราสาทระยะทางประมาณ ๑๔ กิโลเมตรมีเนื้อที่ประมาณ ๔๐.๔๓ ตารางกิโลเมตร หรือ ประมาณ ๒๗,๑๒๕ ไร่ มี ๑๑ หมู่บ้าน คือ หมู่ที่ ๑ บ้านทุ่งมน หมู่ที่ ๒ บ้านทุ่งมน หมู่ที่ ๓ บ้านตาเจียด หมู่ที่ ๔ บ้านกำไสจาน หมู่ที่ ๕ บ้านตาอี หมู่ที่ ๖ บ้านพลับ หมู่ที่ ๗ บ้านสะพานหัน หมู่ที่ ๘ บ้านหนองหรี่ หมู่ที่ ๙ บ้านหนองโบสถ์ หมู่ที่ ๑๐ บ้านแสรโอ และหมู่ที่ ๑๑ บ้านลำพุก มีประชากรประมาณ ๗,๑๖๓ คน แยก ชาย ๓,๕๘๘ คน หญิง๓,๕๗๕ คน ครัวเรือน ๑,๖๒๒ หลัง

ตำบลทุ่งมนปัจจุบัน มีอาณาเขตติดต่อ ดังนี้

  • ทิศเหนือ ติดต่อกับตำบลสวาย อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์
  • ทิศใต้ ติดต่อกับตำบลตานี และตำบลปรือ อำเภอปราสาท
  • ทิศตะวันออก ติดต่อกับตำบลสมุด อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์
  • ทิศตะวันตก ติดต่อกับตำบลป่าชัน อำเภอพลับพลาชัย จังหวัดบุรีรัมย์


ลักษณะพื้นที่ทางกายภาพตำบลทุ่งมน

เมื่อกล่าวถึงลักษณะภูมินิเวศน์ตำบลทุ่งมนเป็นพื้นที่มีลำน้ำชีว์น้อยไหลผ่านทางด้านทิศตะวันตก และมีลำห้วยโอก็วลที่มีต้นกำเนิดจากเทือกเขาพนมดงรักที่ไหลมารวมกับลำน้ำชีว์น้อยทางด้านทิศตะวันตก ด้วยความยาวที่คดเคี้ยวระยะทางประมาณ ๓๐ กิโลเมตร อีกทั้งภูมินิเวศน์ของบ้านทุ่งมน มีลักษณะเป็นพื้นที่ราบสูง เนินเขา มีสภาพเป็นป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรังสลับทุ่งหญ้าและบริเวณที่ราบริมน้ำเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ (West Land) ภาษาถิ่นเรียกว่า “ปรีระเนียมหรือ ดบกุมพะเนง” หรือป่าทามในภาษาอีสาน ด้วยเป็นลูกเขาเนินเตี้ยที่เกิดจากการดันตัวของเปลือกโลก มีสภาพเป็นดินลูกรังและมีหินโผล่ ประเภทหินอัคนี หินปูนกระจายอยู่ทั่วไป และมีพื้นที่ป่าไม้กระจายตัวเป็นแหล่ง ๆ พื้นที่ลาดลงต่ำไปรอบๆ ทางทิศตะวันออกและทิศใต้เป็นต้นน้ำสาขาหนึ่งของลำห้วยโอก็วล ทิศเหนือและทิศตะวันตกเป็นร่องน้ำและไหลรวมกับลำน้ำชีว์น้อยตามลำดับ จึงเป็นพื้นที่เหมาะสมในการตั้งถิ่นฐานอยู่อาศัยของมนุษย์ ดังภาพที่ จ๒ พื้นที่ทางกายภาพตำบลทุ่งมนสามารถแบ่งเป็น ๓ ลักษณะ คือ ลักษณะที่ ๑ เป็นพื้นที่ในส่วนที่เป็นที่เนินสูงป่าเขา มีลักษณะดินเป็นดินลูกรัง มักขาดน้ำบ่อย ๆ ลักษณะที่ ๒ พื้นที่ในส่วนที่เป็นที่ราบทุ่งนา เป็นดินปนทราย และลักษณะที่ ๓ พื้นที่ในส่วนที่เป็นที่ราบลุ่มริมห้วย เป็นดินเหนียว เมื่อทำนามักจะมีน้ำท่วมบ่อย ๆ


พื้นที่ตำบลทุ่งมนมีลักษณะภูมิประเทศที่แตกต่างกันชัดเจน ทางด้านตะวันตกเป็นที่ลุ่ม มีสายน้ำลำชีตลอดแนวพื้นที่ตำบล ทำให้บริเวณนี้เป็นจุดรวมน้ำ เมื่อถึงเดือน ๑๐ ของไทย (กันยายน-ตุลาคม) มักเกิดน้ำท่วม ด้านทิศเหนือเป็นพื้นที่เนินสูง มีป่าเต็งรัง และดินภูเขาไฟซึ่งประกอบด้วยหินและลูกรัง พื้นที่นี้ประสบปัญหาภัยแล้งซ้ำซาก แต่บางครั้งหลังจากภัยแล้งสุดขีดก็เกิดน้ำท่วมได้เช่นกัน ตำบลทุ่งมนเป็นชุมชนเก่าแก่ที่มีพื้นที่ส่วนใหญ่ไม่เหมาะสมกับการทำการเกษตร มีเพียงบางส่วนที่สามารถทำได้ ชุมชนนี้มีการอาศัยต่อเนื่องยาวนาน แต่กลับต้องเผชิญกับความยากลำบากทางธรรมชาติและสภาพแวดล้อม ส่งผลให้คนในชุมชนเกิดความรู้สึกจำยอม ผิดหวัง และเครียด พฤติกรรมที่แสดงออกมาเป็นลักษณะของความอ่อนแอ เฉื่อยชา ขาดความกระตือรือร้น ซึ่งเป็นผลกระทบที่เกิดจากสภาพแวดล้อมและสภาวะทางเศรษฐกิจที่ท้าทาย (AI ช่วยปรับภาษา)


จากการเปรียบเทียบข้อความทั้งสองส่วน มีความสอดคล้องกันในลักษณะดังนี้:
ภูมิประเทศ: ทั้งสองข้อความกล่าวถึงตำบลทุ่งมนที่มีลำน้ำและเนินเขา ทางด้านตะวันตกของพื้นที่มีสายน้ำและน้ำท่วมในฤดูฝน ขณะเดียวกันมีลักษณะเป็นเนินสูงและดินลูกรังเช่นกัน ทั้งสองส่วนสอดคล้องกันในเรื่องความแตกต่างของภูมิประเทศและความท้าทายที่เกี่ยวข้องกับน้ำท่วมและภัยแล้ง
ผลกระทบต่อชุมชน: ข้อความที่สองกล่าวถึงชุมชนที่มีการตั้งถิ่นฐานมายาวนาน และต้องเผชิญกับปัญหาทางธรรมชาติ เช่น น้ำท่วมและภัยแล้ง ข้อความนี้สอดคล้องกับข้อความแรกที่กล่าวถึงผลกระทบของสภาพแวดล้อมที่ทำให้เกิดความเครียดและความอ่อนแอในชุมชน
การแบ่งลักษณะพื้นที่: ข้อความแรกอธิบายพื้นที่อย่างละเอียดว่ามี 3 ลักษณะคือ เนินสูง ที่ราบ และที่ราบลุ่ม ซึ่งข้อความที่สองก็พูดถึงลักษณะของพื้นที่คล้ายกัน แต่ไม่ละเอียดเท่า แต่ยังคงสอดคล้องในส่วนที่กล่าวถึงพื้นที่เนินสูงและพื้นที่ที่มีน้ำท่วมบ่อย
สรุปได้ว่า ข้อความทั้งสองสอดคล้องกันในแง่ของลักษณะภูมิประเทศและผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อชุมชน แต่ข้อความแรกให้รายละเอียดที่มากกว่าในแง่ของการอธิบายลักษณะภูมิประเทศ


ลักษณะภูมิประเทศและผลกระทบต่อชุมชนตำบลทุ่งมน

ตำบลทุ่งมนเป็นพื้นที่ที่มีลักษณะภูมิประเทศที่หลากหลายและซับซ้อน ด้านตะวันตกของตำบลมีลำน้ำชีน้อยไหลผ่าน ทำให้บริเวณนี้เป็นจุดรวมน้ำสำคัญ โดยเฉพาะในช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคม มักเกิดน้ำท่วมอย่างต่อเนื่องทุกปี ส่วนด้านทิศเหนือของตำบลมีพื้นที่เนินสูง เป็นป่าเต็งรังและดินลูกรังที่ประกอบด้วยหินภูเขาไฟและหินอัคนี เนื่องจากตำบลทุ่งมนเป็นพื้นที่ภูมิอากาศแห้งแล้งซ้ำซาก บางปีหลังจากภัยแล้งรุนแรง เมื่อมีฝนตกหนักในวงกว้างตามพื้นที่อื่น ๆ ที่ลุ่มกลับเกิดน้ำท่วมได้ พื้นที่ทางกายภาพของตำบลทุ่งมนสามารถแบ่งออกเป็น ๓ ลักษณะหลัก ได้แก่ พื้นที่เนินสูงป่าเขา ซึ่งดินเป็นดินลูกรัง เมื่อขาดแคลนน้ำที่ดินร้อนข้าวนาจะแห้งเฉาเร็ว พื้นที่ราบทุ่งนา ซึ่งดินเป็นดินปนทราย และพื้นที่ราบลุ่มริมน้ำ ซึ่งดินเป็นดินเหนียวและมักประสบปัญหาน้ำท่วมบ่อยครั้ง โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน
และจากที่ตำบลทุ่งมนจะเป็นชุมชนเก่าแก่ที่มีการตั้งถิ่นฐานมายาวนาน ทั้งมีพื้นที่เป็นที่อยู่อาศัยส่วนมาก แต่พื้นที่ทำกินมีจำนวนน้อยและส่วนใหญ่กลับไม่เหมาะสมต่อการทำเกษตรกรรม มีเพียงบางส่วนเท่านั้นที่สามารถใช้ประโยชน์จากพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความยากลำบากในการดำรงชีวิตที่เกิดจากปัญหาน้ำท่วมและภัยแล้ง ทำให้คนในชุมชนต้องเผชิญกับภาวะความเครียดและความกดดันทางสภาพแวดล้อม ส่งผลให้ผู้คนเกิดความรู้สึกจำยอม อ่อนแอ และขาดความกระตือรือร้น การดำรงชีวิตในพื้นที่ที่มีภูมิประเทศหลากหลายเช่นนี้ ทำให้ชาวบ้านต้องปรับตัวกับธรรมชาติที่ไม่แน่นอน ซึ่งทั้งภัยแล้งและน้ำท่วมส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตและเศรษฐกิจท้องถิ่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ประวัติศาสตร์ชุมชนตำบลทุ่งมน

*เพื่อให้เห็นประวัติศาสตร์ชุมชนตำบลทุ่งมนอย่างเป็นลำดับ ผู้วิจัยได้แบ่งเนื้อหาออกเป็นหัวข้อคือ ๑) การต่อตั้งถิ่นของบ้านทุ่งมน ๒) ประวัติการตั้งวัดที่สัมพันธ์กับการขยายตัวของชุมชนตำบลทุ่งมน ๓) หลักฐานทางราชการที่เกี่ยวข้องกับตำบลทุ่งมน ๔) กำนันที่ปกครองตำบลทุ่งมนตั้งแต่อดีต จะนำแต่ละหัวข้อมาศึกษาดังต่อไปนี้

๑) การต่อตั้งถิ่นของบ้านทุ่งมน บ้านทุ่งมนตั้งอยู่ทางด้านทิศเหนือบ้านโคกจ๊ะ คาดกันว่ามีการตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนของชาวเขมรป่าดงที่มีความต่อเนื่องอยู่จนถึงปัจจุบันก่อนปีพุทธศักราช ๒๓๐๓ ซึ่งมีครัวเรือนตั้งอยู่ไม่มาก ต่อมาราวปีพุทธศักราช ๒๓๒๐ - ๒๓๔๐ ประชาชนในหมู่บ้านเพิ่มจำนวนมากขึ้น ประมาณ ๒๐ – ๓๐ หลังคาเรือน มีทั้งคนย้ายเข้ามาแต่งงานกับคนบ้านทุ่งมนและคนบ้านทุ่งมนย้ายออกไปอยู่ที่อื่น ประชาชนในหมู่บ้านร่วมกันสร้างวัดขึ้น (วัดอุทุมพร) แล้วอาราธนานิมนต์หลวงพ่อตุม ชาวท่าตูมที่จาริก (เดินทาง) ไป-กลับระหว่างท่าตูมกับกัมพูชา ขณะนั้นหลวงพ่อตุมจำอยู่ที่วัดโคกจ๊ะ (วัดศรีลำยอง) ชาวบ้านชุมชนจึงพร้อมใจกันนิมนต์ท่านให้จำอยู่วัดที่สร้างใหม่เพื่อเป็นศูนย์รวมใจ ครั้งนั้นท่านได้นำพาญาติธรรมย้ายจากท่าตูมมาอยู่ข้างวัดอุทุมพร คุณครูสุริโย บุติมาลย์เล่าไว้ว่า “หลวงพ่อตุมย้ายจากเสราะตุมมวน (บ้านทุ่งมนไพรขลา) เมื่อรับนิมนต์เป็นเจ้าอาวาสแล้ว ท่านได้ศึกษาทำเลที่ตั้งหมู่บ้านเห็นว่ามีลักษณะภูมิประเทศคล้ายคลึงกันกับทำเลที่ตั้งของบ้านทุ่งมนไพรขลาเดิมที่เรียกว่า “เสราะตุมมวนปรีขลา” เช่นมีลักษณะแหล่งน้ำ ลักษณะของพันธุ์ไม้ ลักษณะดินคล้ายกันมากจึงเรียกขานชื่อหมู่บ้านแห่งนี้ว่า “เสราะตุมมวน” หรืออาจสอดคล้องกับคำว่า “เสราะลูกโอ๊วตุมนิมวนโม” อันเป็นสำเนียงเรียกขานที่นำมาสู่การตั้งชื่อหมู่บ้าน และอีกความหมายหนึ่ง ป้าเย็น สมใจเราเล่าว่า “มีคนเฒ่าคนแก่ผู้รู้ท่านหนึ่งเขียนหนังสือขอมเป็นคำกลอนเล่าตำนานกล่าวถึงสถานที่ต่าง ๆ ไว้ เช่น สถานที่บ้านทุ่งมน คือ“ซงต็วงมุน” แปลเป็นไทยว่า “ปักธงก่อน” หมายความว่า “ปักธงไว้เป็นสถานที่แรก” สถานที่บ้านสมุด คือ “สาบน” แปลว่า “สาบาน” สถานที่วัดสะเดารัตนาราม คือ “อังกอร์ตาลวก” แปลว่า “เมืองต้นพอก” สถานที่ขุนแก้ว คือ เกาะแก้ว” อาจสรุปได้ว่า “เสราะตุมมวน” “เสราะลูกโอ๊วตุมนิมวนโม” หรือ “เสราะซ็วงต็วงมุน” ซึ่งแปลว่า “ปักธงก่อน” เป็นสำนวนที่มาของ คำว่า “บ้านทุ่งมน” ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

๒) ประวัติการตั้งวัดที่สัมพันธ์กับการขยายตัวของชุมชนตำบลทุ่งมน เช่น วัดศรีลำยอง ที่ตั้งอยู่ ณ บ้านโคกจ๊ะ เป็นวัดแรกในพื้นที่ตำบลทุ่งมน บริเวณวัดศรีลำยองเดิมมีร่องรอยหลักฐานบ่งชี้ว่าเป็นโบราณสถาน มีหลักฐานระบุว่ามีการตั้งวัดขึ้น เมื่อ พ.ศ.๒๓๐๓ ส่วนวัดอุทุมพรมีการะบุในเอกสารว่าเป็นการการตั้งวัดขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๓๖๐ เอกสารราชการระบุว่าวัดเพชรบุรีตั้งวัดขึ้น เมื่อพ.ศ. ๒๓๔๒ สำหรับการสืบค้นจากเรื่องเล่าของชุมชนพบว่า วัดเพชรบุรีเดิมชื่อ “วัดทุ่งมนตะวันออก” ตรงกับชื่อหมู่บ้านซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของวัดอุทุมพร ที่ชาวบ้านเรียกกันว่า “บ้านทุ่งมนตะวันออก, เสราะตุมมวนอีเกิด” เจ้าอาวาสรูปแรกของวัดเพชรบุรี ชื่อหลวงพ่อเพชร นิมนต์จากวัดอุทุมพร ด้วยเหตุนี้สรุปข้อเท็จจริงได้ว่าวัดอุทุมพรเป็นวัดที่สร้างขึ้นก่อนวัดเพชรบุรี ด้านวัดประทุมทอง ที่ตั้งอยู่ ณ บ้านพลับ มีการระบุการตั้งวัดขึ้นเมื่อพ.ศ. ๒๔๐๒ เจ้าอาวาสรูปแรกที่สร้างวัดประทุมทองชื่อ หลวงพ่อคง ก็เป็นพระภิกษุสงฆ์จากวัดอุทุมพร ส่วนวัดสะเดารัตนารามหลวงพ่อริม รตนมุณี สร้างขึ้น พ.ศ. ๒๕๑๐

๓) หลักฐานทางราชการที่เกี่ยวข้องกับตำบลทุ่งมน เมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๓๕ ประเทศไทยมีการแบ่งเขตการปกครองจังหวัด เป็นอำเภอ ตำบล หมู่บ้าน บ้านทุ่งมนเมื่อถูกประกาศให้เป็นชื่อของตำบลทุ่งมน อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ อาณาเขตตำบลทุ่งมนมีเขตพื้นที่ปกครองกว้างขวางด้านทางทิศใต้คือพื้นที่จังหวัดอุดรมีชัย ประเทศกัมพูชาในปัจจุบัน หลังมีการแบ่งปักปันเขตประเทศกับฝรั่งเศสและก่อนที่จะมีการตั้งตำบลปรือ พื้นที่ตำบลทุ่งมนยังจรดเขตแดนกับประเทศกัมพูชา เมื่อวันที่ ๔ เดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๔๘๐ ตำบลทุ่งมนเป็นตำบลหลักของการประกาศจัดตั้งอำเภอปราสาท ชาวทุ่งมนเป็นชาวไทยเชื้อสายเขมร ในอดีตชุมชนทุ่งมนไปมาหาสู่กัน เป็นเครือญาติกันกับชุมชนเขมรในจังหวัดอุดรมีชัยปัจจุบัน การแบ่งพื้นที่ตำบลล่าสุดนั้นคณะกรรมการสภาตำบลทุ่งมน ดำเนินการแยกตำบลทุ่งมนเป็น ๒ ตำบล ตั้งชื่อตำบลใหม่ เป็น “ตำบลสมุด” มีประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง ตั้งและกำหนดเขตตำบลในท้องที่อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ เมื่อ ๒๘ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๓๖ ลงในราชกิจจานุเบกษา วันที่ ๑๗ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๖ ตั้งตำบลสมุดมีเขตปกครอง รวม ๘ หมู่บ้าน ให้ตำบลทุ่งมนมีเขตปกครอง รวม ๑๑ หมู่บ้าน

๔) กำนันที่ปกครองตำบลทุ่งมนตั้งแต่อดีต พื้นที่ของตำบลทุ่งมนมีกำนันปกครองพื้นที่มาตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๓๕ และตลอดสมัยการประกาศใช้พระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ ในพระพุทธศักราช ๒๔๔๐ ส่วนที่มีการบันทึกรายชื่อเป็นทำเนียบกำนันตำบลทุ่งมนเป็นหลักฐาน เริ่มนับจากพุทธศักราช ๒๔๕๘ เป็นความชัดเจนตามกฎหมายพระราชกำหนดเครื่องแต่งตัวกำนันผู้ใหญ่บ้าน พ.ศ. ๒๔๕๘ ที่บังคับให้สอดคล้องตามพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. ๒๔๕๗


ทำเนียบผู้ปกครองตำบลทุ่งมน พ.ศ. ๒๔๕๘ ถึง ปัจจุบัน มีดังนี้

  1. นายปริด ศรีราม พ.ศ. ๒๔๕๘ – ๒๔๙๖
  2. นายสบู่ ศรีราม พ.ศ.๒๔๙๖ – ๒๔๘๐
  3. นายกอย สมใจเรา พ.ศ.๒๔๘๐ – ๒๔๙๔
  4. นายเพลิน ลับแล พ.ศ.๒๔๙๔ – ๒๕๐๑
  5. นายสนอง หงส์สูง พ.ศ. ๒๕๐๑ – ๒๕๐๕
  6. นายเพลิน ลับแล พ.ศ. ๒๕๐๕ - ๒๕๐๗
  7. นายพร ทองหาว พ.ศ. ๒๕๐๗ – ๒๕๑๙
  8. นายเล้ง เรืองประดับ พ.ศ. ๒๕๑๙ - ๒๕๒๓
  9. นายบรัน บานบัว พ.ศ. ๒๕๒๓ – ๒๕๓๗
  10. นายเปือง สันทัยพร พ.ศ. ๒๕๓๘ - ๒๕๕๐
  11. นายอุดม หวังทางมี พ.ศ. ๒๕๕๐ – ๒๕๖๒
  12. นายประมวล ยงยิ่งยืน พ.ศ. ๒๕๖๒ – ๒๕๖๕
  13. นายเฮีย หวังทางมี พ.ศ. ๒๕๖๖ – ปัจจุบัน

ด้านเศรษฐกิจ การศึกษา ศาสนา วัฒนธรรม ทรัพยากรสิ่งแวดล้อม และ แหล่งเรียนรู้ ภายในตำบลทุ่งมน

*สำหรับในหัวข้อนี้จะกล่าวถึงสภาพแวดล้อมที่ดำรงอยู่ในปัจจุบัน ที่มีผลกระทบต่อการดำเนินงานพัฒนา หรือกิจกรรมทางสังคม ภายในตำบลทุ่งมน มีรายละเอียดดังต่อไปนี้

*คำขวัญตำบลทุ่งมน "ทุ่งมนชุมชนคุณธรรม ร่ำลือเกจิอาจารย์ อุทยานหนองกกแหล่งสมุนไพร หลากหลายปลาลำน้ำชี ดำเนินวิถีเศรษฐกิจพอเพียง"

  • สภาพทางเศรษฐกิจ ประชากรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม และรับจ้างทั่วไป เกษตรกรรม ทำนา รวมทั้งปศุสัตว์ ๘๕ เปอร์เซ็นต์ ทำไร่ ๕ เปอร์เซ็นต์ อื่น ๆ เช่น รับจ้าง ค้าขาย รับราชการ ๑๐ เปอร์เซ็นต์ มีพื้นที่ทำนา รวม ๑๗,๑๗๖ ไร่
  • สภาพสังคม ตำบลทุ่งมนมีโรงเรียนประถมศึกษา ๓ แห่ง คือ ๑) โรงเรียนบ้านทุ่งมน (ริมราษฎร์นุสรณ์) ตั้งอยู่ ม.๙ ๒) โรงเรียนบ้านสะพานหัน ตั้งอยู่ ม.๗ ๓) โรงเรียนบ้านกำไสจาน ตั้งอยู่ ม. ๔ มีโรงเรียนประถมศึกษาแบขยายโอกาส ๑ แห่ง คือ โรงเรียนบ้านหนองหรี่ ตั้งอยู่ ม.๘ มีโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลาย ๑ แห่ง คือ โรงเรียนทุ่งมนวิทยาคาร ตั้งอยู่ ม.๒ ต.สมุด มีศูนย์พัฒนาเด็กเล็กก่อนวัยเรียน ๓ แห่ง คือ ๑)ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านหนองโบสถ์ ตั้งอยู่ ม.๙ ๒) ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กวัดป่าหินกอง ตั้งอยู่ ม. ๔ ๓) ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านพลับ ตั้งอยู่ ม. ๖ มี กศน.ตำบลทุ่งมน ๑ แห่ง คือ กศน. ตำบลทุ่งมน ตั้งอยู่วัดสะเดารัตนาราม ม.๑๐
  • มีสถาบันและองค์กรทางศาสนา ดังนี้ มีวัด ๔ แห่ง คือ

๑) วัดอุทุมพร ตั้งอยู่ ม. ๙
๒) วัดประทุมทอง ตั้งอยู่ ม. ๖
๓) วัดสะเดารัตนาราม ตั้งอยู่ ม.๑๐
๔) วัดสุวรรณหงษ์ ตั้งอยู่ ม.๗

  • และมีที่พักสงฆ์ ๖ แห่ง

-ที่พักสงฆ์หงษ์มุนีสามัคคีพัฒนาราม
-ที่พักสงฆ์ป่าหินกอง
-ที่พักสงฆ์ป่าพรหมคุณสามัคคีธรรม
-ที่พักสงฆ์ภูมิไพรสิริสุข (วัดบ้านกำไสจาน)
-ที่พักสงฆ์หนองกก
-ที่พักสงฆ์สุทัศนา บ้านสะพนหัน (ธรรมยุติ)

  • ด้านหน่วยงานราชการมี ๒ แห่ง คือ ๑) องค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งมน ตั้งอยู่ ม. ๑ ๒) โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลทุ่งมน ตั้งอยู่ ม. ๒
  • ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แบ่ง ๒ ประเภท คือ ๑) ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้แก่ ลำห้วยตาก็วล ผ่าน หมู่ที่ ๙,๑,๘,๖,๑๐,๓ ลำห้วยชี ผ่าน ม. ๗,๓,๔,๕ ๒) พื้นที่ป่าในเขตและนอกเขตป่าสงวนแห่งชาติกำไสจาน ได้แก่ ๑) ป่าทำเลปรือเกือน ๒) ป่าชุมชนหนองกก ๑๐๖ ไร่ ๓) ป่าชุมชนเขาคีรีวงคต ๑๑๗ ไร่ ๔) ป่าชุมชนพนมยายจรูก ๑๔๒ ไร่ ๕) ป่าชุมชนป่าลุมพินีวันหงษ์อนุรักษ์ ๖๖ ไร่ ๖) ป่าชุมชนระนามพลวง ๔๒๙ ไร่ ๗) ป่าชุมชนโคกหมอสุด ๘) ป่าชุมชนโคกเกาะ บ้านกำไสจาน ๙) ป่าวัดป่าหินกอง

*แหล่งเรียนรู้ชุมชนวัฒนธรรม ตำบลทุ่งมน ประกอบด้วย แหล่งเรียนรู้ธรรมชาติ ได้แก่ (๑) แหล่งอนุรักษ์พันธุ์สัตว์น้ำ หมู่ที่ ๓ บ้านตาเจียด (๒) ภูมิปัญญาชาวบ้านการจัดการน้ำชุมชนตำบลทุ่งมนแหล่งเรียนรู้ทางศาสนา ได้แก่ (๑) กราบสรีระสังขารหลวงปู่หงษ์ พฺรหฺมปญฺโญ (พระครูประสาทพรหมคุณ) เกจิมากเมตตาแห่งเมืองสุรินทร์ ณ สุสานทุ่งมน (วัดเพชรบุรี) (๒) ร่วมพิธีงานบุญประเพณีคีรีวงคต พิธีอันเก่าแก่และศักดิ์สิทธิ์ ตั้งแต่เมื่อครั้งหลวงปู่ริม รัตนมุณี ยังมีชีวิตอยู่ เป็นผู้นำพาชาวบ้านประกอบพิธีทางศาสนา จัดกิจกรรมวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ (๓) หนองหินศักดิ์สิทธิ์ (หนองละลมกรม) สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ แหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรม ได้แก่ (๑) ป่าพนมยายจรูก สายใยแห่งวัฒนธรรมเครือญาติ และการตั้งถิ่นฐาน (๒) ประเพณีแห่เทียนเข้าพรรษา (๓) วันแซนโฎนตา วัฒนธรรมท้องถิ่นประจำปีของชาวเขมร เพื่อรำลึกและบูชาบรรพบุรุษ

*สรุป ท้องถิ่นตำบลทุ่งมน เป็นชุมชนเก่าแก่ แต่มีจุดอ่อนด้อยทางเศรษฐกิจ กระทบสังคมความเป็นอยู่ของชุมชน เจ้าอาวาสวัดสะเดารัตนารามได้ทำการบันทึกข้อมูล สืบเสาะค้นหาวิเคราะห์วิจัยปัญหาชุมชนอย่างต่อเนื่อง เมื่อเห็นปัญหาทุกข์ชัด ๆ และรู้สาเหตุของปัญหา มีจิตปรารถนาให้ชาวชุมชนได้มีปัญญารวมตัวกันฝ่าฟันความทุกข์ ความรู้ความเข้าใจนำให้วัดสะเดารัตนารามมีพลังผลักดันแนวคิด แนวทางในการกระตุ้นให้ชุมชนตื่นตัวเพื่อร่วมกันแก้ปัญหาของตนเอง

เครือญาติ สายตระกูล