พัฒนาการความคิด ช่วงปี 2551
เนื้อหา
- 1 มกราคม ๒๕๕๑
- 2 เมษายน ๒๕๕๑
- 2.1 โครงการเสริมกระบวนการเรียนรู้เพื่อคนสุรินทร์งดดื่มสุราและวัดเขตปลอดสุราเฉลิมราชย์ จังหวัดสุรินทร์
- 2.2 แซนโฎนตา บูชาบรรพบุรุษ
- 2.2.1 แซนโฏนตา
- 2.2.2 เทอบ็อญอุติส
- 2.2.3 กันซง
- 2.2.4 สาระ/หลักคิดเพื่อปัญญา
- 2.2.5 จุดเน้นเพื่อความถูกต้อง
- 2.2.6 หลักธรรม ที่สร้างภูมิปัญญา เชื่อมโยงกับการแซนโฎนตา
- 2.2.6.1 บุคคลหาได้ยาก ๒ อย่าง
- 2.2.6.2 ปุรัตถิมทิส ทิศเบื้องหน้า มารดาบิดา บุตรพึงบำรุงด้วยสถาน ๕
- 2.2.6.3 สัมมาทิฏฐิ ๑๐
- 2.2.6.4 ติโรกุฑฑสูตร
- 2.2.6.5 ปิฏฐธีตลิกเปตวัตถุ
- 2.2.6.6 ชาณุสสโสณีสูตร
- 2.2.6.7 จูฬเสฏฐีเปรต
- 2.2.6.8 บุญกิริยาวัตถุ
- 2.2.6.9 วิธีการกรวดน้ำ
- 2.2.6.10 การอุทิศส่วนกุศล สำเร็จประโยชน์ด้วยเหตุ ๓
- 2.2.6.11 คติ ๒ ทางที่ไป ( ชีวิตหลังความตาย)
- 2.2.6.12 ประโยชน์เกิดแต่การถือโภคทรัพย์
- 2.2.6.13 คุณสมบัติชาวพุทธ ๕ ประการ
- 2.2.6.14 มิจฉาวณิชชา คือ การค้าขายไม่ชอบธรรม ๕ อย่าง
- 2.2.6.15 ทานที่ให้แล้วไม่ได้บุญ ไม่ก่อประโยชน์ และเป็นโทษต่อสังคม
- 3 พฤษภาคม ๒๕๕๑
- 4 มิถุนายน ๒๕๕๑
- 5 กรกฎาคม ๒๕๕๑
- 6 สิงหาคม ๒๕๕๑
- 7 สิงหาคม ๒๕๕๑
- 8 กันยายน ๒๕๕๑
- 9 ตุลาคม ๒๕๕๑
- 10 พฤศจิกายน ๒๕๕๑
- 11 ธันวาคม ๒๕๕๑
- 11.1 บันทึก บทสรุปนำเสนอ ต่อผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์
- 11.2 โครงการการพัฒนาและขยายผลการจัดสวัสดิการชุมชนท้องถิ่น จ.สุรินทร์
- 11.3 ยุทธศาสตร์การพัฒนาสังคมจังหวัดสุรินทร์ ( พมจ.สุรินทร์) จากกองทุนส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคม
- 11.3.1 วิธีการ รูปแบบขยายพื้นที่ทำอย่างไร
- 11.3.2 กิจกรรมที่ใช้ขับเคลื่อนงาน
- 11.3.3 ผลที่เกิดขึ้น ได้พื้นที่กี่ตำบล สนับสนุนกี่ตำบล มีตำบลอะไรบ้าง อำเภออะไร
- 11.3.4 ข้อดีที่ค้นพบในขบวนสวัสดิการชุมชนจังหวัดสุรินทร์
- 11.3.5 ปัญหาอุปสรรคในการขับเคลื่อนงาน
- 11.3.6 ข้อควรระวังในการขับเคลื่อนงานสวัสดิการ
- 11.3.7 หลักเกณฑ์การเข้าร่วมเป็นสมาชิกกองทุนจังหวัด=
มกราคม ๒๕๕๑
- ๑๒ มกราคม ๒๕๕๑ อบรมค่ายศักยภาพเยาวชนตำบลทุ่งมน โดยได้รับการสนับสนุนจากศูนย์คุณธรรม ๑๕,๐๐๐ บาท
เมษายน ๒๕๕๑
- ๑ เมษายน ๒๕๕๑ ประกาศใช้ “กลุ่มอาสาสมัครพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตำบลทุ่งมน-สมุด” เพื่อให้สอดคล้องกับได้รับการรับรององค์กรสมาชิกของสมาคมพัฒนาเครือข่ายองค์กรชุมชน ตามใบสำคัญเลขที่ ๐๒๓ ลง ณ วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๑ และให้สอดคล้องกับการจัดทำโครงการเพื่อของบประมาณแหล่งทุน
- 5เม.ย.51 เปิดใช้เมล์ [email protected] และใช้วินโดไลน์
- ๑๔ – ๑๕ เมษายน ๒๕๕๑ จัดกิจกรรมณรงค์เพื่ออนุรักษ์และฟื้นฟูประวัติศาสตร์ชุมชนพนมยายจรูก ป่าชุมชนกำไสจาน ครั้งที่ ๑ ประจำปี ๒๕๕๑ เริ่มเก็บประวัติศาสตร์ผังเครือญาติ ประวัติศาสตร์ชุมชน
- ๑๘ เมษายน ๒๕๕๑ จัดประชุมโครงข่ายความร่วมมือสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(จังหวัดสุรินทร์) ณ วัดสะเดารัตนาราม
- ๒๕ เมษายน ๒๕๕๑ เขียนโครงการฟื้นฟูและอนุรักษ์แหล่งน้ำลำชี(ตอนกลาง) ขอรับทุนสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.)
โครงการเสริมกระบวนการเรียนรู้เพื่อคนสุรินทร์งดดื่มสุราและวัดเขตปลอดสุราเฉลิมราชย์ จังหวัดสุรินทร์
ระยะที่ 3 ( เม.ย. 51 – มี.ค. 52 )
ความเป็นมาของโครงการ
พลังของชุมชนในการจัดการตนเองจนสามารถประกาศให้การจัดงานในวัดปลอดสุราและขยายผลไปสู่งานบุญอื่น ๆ ในชุมชนได้อย่างเข้มแข็งตลอดปี 49/50 ในปี 2551 จึงได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เครือข่ายองค์กรงดเหล้า และจังหวัดสุรินทร์ โดยมี วิทยาลัยการจัดการทางสังคม ภาคอีสาน ( วจส. ภาคอีสาน) เป็นหน่วยเอื้ออำนวย สนับสนุน กระบวนการเรียนรู้ สร้างการมีส่วนร่วมของชุมชนรวมทั้งการจัดการความรู้ นำไปสู่การสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชน ภายใต้โครงการเสริมกระบวนการเรียนรู้ เพื่อคนสุรินทร์งดดื่มสุราและวัดเขตปลอดสุราฯ
เป้าหมาย
ผนึกกำลังภาคีการพัฒนาประชาสังคม เสริมสร้างศักยภาพแกนนำตำบล พัฒนาตำบลเข้มแข็ง ใช้กฎหมาย พรบ. ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นเงื่อนไขในการดำเนินงานโครงการ เพื่อให้วัดเป็นเขตปลอดสุราถาวรเต็มทั้งจังหวัด
วัตถุประสงค์
1. ผนึกกำลังภาคีสนับสนุนพระสงฆ์ในการจัดทำโครงการวัดเขตปลอดสุราเฉลิมราชย์สุรินทร์
2. สนับสนุน พัฒนาศักยภาพแกนนำตำบลต้นแบบ โดยการนำชุดบทเรียนประสบการณ์การทำงานขยายผลสู่ตำบลใกล้เคียง เพื่อให้วัดเป็นเขตปลอดสุราถาวรเต็มทั้งจังหวัด รวมทั้งขยายผลจากวัดเขตปลอดสุราไปสู่งานบุญประเพณีท้องถิ่นปลอดสุราด้วย
3. ขยายแนวคิด สร้างกระแสสังคม โดยใช้กระบวนการสื่อสารสาธารณะ ภายใต้การมีส่วนร่วมของคณะทำงาน และองค์กร
กรอบคิดและกระบวนการทำงานของโครงการ
อาศัยโครงการ / ร่วมมือกับภาคีระดับจังหวัดและท้องถิ่น / จัดพื้นที่ตำบลแกนนำเป็นศูนย์การเรียนรู้/ พูดถึงนโยบาย/อ้าง พรบ. /ด้วยสื่อสาธารณะ/ สู่เป้าหมาย ชุมชนเข้มแข็ง
กระบวนการทำงานของโครงการ
การขับเคลื่อนงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายโครงการ ใช้กลยุทธ์การทำงาน 4 ด้าน คือ 1) สร้างการเรียนรู้ในชุมชน และพัฒนาไปสู่การเป็นศูนย์การเรียนรู้ชุมชน 2) การขับเคลื่อนร่วมกับภาคีในจังหวัด 3) การขับเคลื่อนงานในระดับนโยบาย และ 4) การใช้กระบวนการสื่อสาธารณะ โดยทุกด้านใช้ “การสร้างกระบวนการเรียนรู้ร่วมกัน และการมีส่วนร่วม”
ขั้นตอนการดำเนินโครงการ
ขั้นที่1 ประชุมแกนนำตำบลแกนนำ ( ตำบลเข้มข้น) / แกนนำตำบลขยาย วางแผนดำเนินงาน เป็นประจำทุกเดือน
ขั้นที่ 2 ประสานขอความร่วมมือองค์กรภาคีพัฒนาในท้องถิ่น
ขั้นที่ 3 เก็บข้อมูลการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอออล์ ในระดับพื้นที่ตำบลขยาย
ขั้นที่ 4 ประชุมตัวแทนทุกหมู่บ้านและตัวแทนภาคีพัฒนาในท้องถิ่น
ขั้นที่ 5 จัดกระบวนการเรียนรู้ในชุมชน/กระบวนการสื่อเพื่อหนุนการทำงานในพื้นที่
ขั้นที่ 6 เปิดเวทีประชาคมทุกหมู่บ้าน
ขั้นที่ 7 รวบรวม สังเคราะห์ ข้อมูล
ขั้นที่ 8 จัดเวทีสรุปบทเรียนในระดับตำบล โซน จังหวัด
คณะกรรมการบริหารโครงการ
1. นพ.พีรศักดิ์ ผลพฤกษา ประธานกรรมการ
2. คุณเมรีญาร์ โอษฐ์งาม กรรมการ
3. คุณปรีชา สังข์เพชร กรรมการ
4. คุณปรีชา กลีบแก้ว กรรมการ
5. พระมหาคำเพียร ผาสุโก กรรมการ
6. พระมหาวีระ กิตฺติวณฺโณ กรรมการ
7.คุณบำรุง เป็นสุข กรรมการ
8. คุณพูลสมบัติ นามหล้า กรรมการ
9. คุณวีระ นิจไตรรัตน์ กรรมการ
10. คุณสุภาพร ทองสุข กรรมการ
11. คุณศักดา เชื้ออินทร์ กรรมการ
12. คุณอนุวัฒน์ จันทร์เขต กรรมการ
13. พ.ต.ต.สว่าง ปีแหล่ กรรมการ
14. ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดสุรินทร์ กรรมการ
15. วัฒนธรรมจังหวัดสุรินทร์ กรรมการ
บทบาทหน้าที่คณะกรรมการ
ดูภาพรวม ติดตาม กำกับทิศทาง สนับสนุนงานด้านนโยบาย เชื่อมประสานการขับเคลื่อนงานด้านนโยบายในระดับจังหวัด
พื้นที่ดำเนินงาน
พื้นที่ดำเนินงาน 80 ตำบล ใน 17 อำเภอ
พื้นที่หลัก(ตำบลเข้มข้น) 20 ตำบล
- ตำบลไผ่ อำเภอรัตนบุรี
- ตำบลหัวงัว อำเภอสนม
- ตำบลหนองบัว อำเภอท่าตูม
- ตำบลเสม็จ อำเภอสำโรงทาบ
- ตำบลเมืองบัว อำเภอชุมพลบุรี
- ตำบลเขวาสินรินทร์ อำเภอเขวาสินรินทร์
- ตำบลลุ่มระวี อำเภอจอมพระ
- ตำบลโนน อำเภอโนนนารายณ์
- ตำบลแจนแวน อำเภอศรีณรงค์
- ตำบลระแงง อำเภอศีขรภูมิ
- ตำบลยาง อำเภอศีขรภูมิ
- ตำบลขอนแตก อำเภอสังขะ
- ตำบลสะเดา อำเภอบัวเชด
- ตำบลเทนมีย์ อำเภอเมือง
- ตำบลตระแสง อำเภอเมือง
- ตำบลคูตัน อำเภอกาบเชิง
- ตำบลทุ่งมน อำเภอปราสาท
- ตำบลตาเบา อำเภอปราสาท
- ตำบลจีกแดก อำเภอพนมดงรัก
- ตำบลลำดวน อำเภอลำดวน
พื้นที่ขยาย 60 ตำบล
การคัดเลือกพื้นที่ขยายจะดำเนินการโดยพื้นที่หลักทั้ง 20 ตำบล ทำการปรึกษาหารือและดำเนินการคัดเลือก
แซนโฎนตา บูชาบรรพบุรุษ
“วันแซนโฎนตา เทศกาลเบ็ณทม วันครอบครัวของคนสุรินทร์”
“แซนขม็อจกะไม๊ยซร็อจซรา แซนโฎนตาอ็อยซร็อจตึกโดง”
เขียนขึ้น เม.ย. 2551
แซนโฏนตา
เป็นประเพณีบูชาบรรพบุรุษ ของชาวเขมรสุรินทร์ ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ “ พิธีกรรมที่ระลึกถึงบรรพบุรุษ การขอขมาลาโทษซึ่งกันและกัน การรวมญาติ การเฉลิมฉลอง และวิถีชีวิตชุมชนเกษตรกรรมที่มีความเป็นอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข”
แซน /แซนเปรียญ ตรงกับคำว่า เซ่น หรือ เซ่นสรวง เป็นลักษณะกิริยา การกระทำ กระบวนการ หรือพิธีกรรม มีการจัดสำรับอาหารหวานคาว เรียกว่า ซะแนนหรือสะปวก จุดธูปเทียนบอกกล่าว ร้องเรียกชื่อสกุลของบุคคลที่เสียชีวิตไปแล้ว ให้มา“ซีเจาะ โฮบปะซากระยาบูชา” การหยิบแบ่งให้ ปจี ลงท้ายที่การกรวดน้ำให้ “แซนขม็อจซร็อจตึกโดง” ภาพลักษณ์ทั้งหมดแสดงออกทางสังคม บ่งชี้คุณธรรม ถึงธรรมชาติแห่งความจงรักภักดี ความอ่อนน้อมถ่อมตน ความรักความผูกพัน ความตระหนักในบุญคุณ การประกาศคุณค่าคุณงามความดี ที่มีต่อบรรพบุรุษ
โฎนตา แยกเป็น ๒ คำ คือ โฏน กับ ตา
โฎน (เจียโฎน ) เป็นบรรพบุรุษฝ่ายหญิง หมายถึง ยาย ย่า ยายทวด ย่าทวด บางพื้นที่ กล่าวว่า โฎน แปลว่า นาน , ล่วงเลย , อายุมาก มีความหมายว่า ตระกูล , ตระกูลบรรพบุรุษ เป็นคำกลาง ๆ ใช้ได้ ทั้งชาย หรือ หญิง เช่น โฎนตา โฎนแย็ย เจีย แปลว่า ไป,ไกล เจียโฎน มีความหมายว่าโคตร
ตา (เจียตา ) เป็นบรรพบุรุษฝ่ายชาย หมายถึง ตา ปู่ ตาทวด ปู่ทวด
โฏนตา หมายเอา บรรพบุรุษ ที่เสียชีวิตแล้ว
แซนโฎนตา ประเพณีที่ถูกจัดขึ้นในช่วงเดือน ๑๐ หรือ แคเบ็ณ ของทุกปี
แค ตรงกับคำว่า เดือน เป็นหน่วยนับเวลา มีระยะเวลา ๓๐ วัน ตามการเปลี่ยนแปลงที่ครบรอบของพระจันทร์ เริ่มต้นตั้งแต่พระจันทร์เริ่มส่องแสง หรือ ขึ้น ๑ ค่ำ เริ่มเดือนหงาย ถึงวันพระจันทร์ดับสนิท แรม ๑๕ ค่ำ ในระยะ ๑ เดือน แบ่งเป็น ๒ ช่วงหรือ ปักษ์ ๑๕ วันแรก เป็นข้างขึ้น เรียก ปักษ์ แรก ๑๕ วันหลัง เป็นข้างแรม เรียก ปักษ์หลัง
แคเบ็ณ ของชาวสุรินทร์ อยู่ในกลางพรรษา ช่วงหลังการปักดำข้าว ต้องปิดกั้นน้ำไว้เลี้ยงต้นข้าว และข้าวกำลังแต่งตัวเตรียมตั้งท้อง เป็นช่วงที่แผ่วการลงแรง ชาวนาจะเฝ้าดูแลรักษาเอาใจใส่ต้นข้าวในนาปรารถนาให้เจริญงอกงาม สวยงาม ได้ผลผลิตเต็มเม็ดเต็มหน่วย ชาวเขมรจึงประกอบพิธีบูชาบรรพบุรุษ ( แซนโฎนตา)
แคเบ็ณ มีความหมายว่า เดือนที่มีการประกอบพิธีบูชาบรรพบุรุษ กร่อนจาก แคบายเบ็ณ ( เดือนข้าวบิณฑ์)
บายเบ็ณ มาจากคำภาษาบาลีว่า บิณฑะ ซึ่งแปลว่า ก้อนข้าว มีความหมายว่า บรรพบุรุษร่วมข้าวก้อนเดียวกัน , บรรพบุรุษในตระกูลเดียวกัน, หมู่ญาติที่ทานข้าวหม้อเดียวกัน , ปู่ย่าตายายพ่อแม่พี่น้องลูกหลานหมู่ญาติเดียวกัน
เบ็ณตู๊จ (ตู๊จ แปลว่า เล็ก , น้อย ,นิดหน่อย) ทางกาลเวลามีความหมายว่า เริ่มต้น , ช่วงต้นเดือน , ๑๕ วันแรกของเดือน ปักษ์แรก มีวันขึ้น ๑๕ ค่ำเป็นวันสุดท้าย ทางคำนาม มีความหมายว่า การเริ่มต้นความพร้อม, การเตรียมความพร้อม , การเริ่มต้นในการกระทำ เพื่อบูชาบรรพบุรุษ
เบ็ณทม ( ทม แปลว่า ใหญ่ , ยิ่งใหญ่ , สมบูรณ์ , เต็มที่ ,โต ) ทางกาลเวลามีความหมายว่า เต็มเดือน , ปลายเดือน,จะสิ้นเดือน , ๑๕ วันหลัง ปักษ์หลัง มีวันแรม ๑๕ ค่ำ เป็นวันสุดท้าย ทางคำนาม มีความหมายว่า การไปทำบุญที่วัดทุก ๆ วัน, การไปทำบุญที่วัดอย่างต่อเนื่อง, การทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เต็มที่, การรวมญาติในตระกูลเดียวกัน, การพบปะกันในเหล่าหมู่ญาติ, การขอขมาลาโทษซึ่งกันและกันในครอบครัว, การกระทำการบูชาบรรพบุรุษอย่างยิ่งใหญ่, การแซนโฎนตาที่เต็มรูปแบบ, พิธีกรรมแซนโฎนตาที่สมบูรณ์
แซนโฎนตา จัดขึ้นในช่วง เบ็ณทม หรือ แซนโฎนตา คือ เบ็ณทม
เทศกาลทำบุญทำทาน ความหมาย ความเชื่อ จารีต และ พิธีกรรม เบ็ณทม / แซนโฎนตาเวรจังหัน, เวรลูก (บุญเจ้าภาพเลี้ยงภัตตาหาร)
ในช่วงตลอดพรรษา ชุมชนจะแบ่งหน้าที่กันเป็นเจ้าภาพเลี้ยงพระ โดยจัดกันเป็นกลุ่ม ๆ เป็นกลุ่มที่มีบ้านเรือนอยู่ใกล้ชิดกัน กลุ่มหนึ่งก็ประมาณ ๔– ๖ คน หรือพอสมควรกับจำนวนพระเณรในวัด เพื่อนำภัตตาหารที่เป็นกับข้าวหรือกับแกง ไปถวายพระที่วัดในตอนเช้าของแต่ละวัน ถ้าเป็นวันพระหรือวันที่มีการไปทำบุญกันรวมกันทั้งชุมชนอยู่แล้วเช่น “กันส่ง” จะไม่ต้องจัดกลุ่มไปถวายภัตตาหาร และพระสงฆ์ก็ไม่ต้องออกบิณฑบาต
เลียงลูก ( ทำบุญเลี้ยงพระ)
มีการนัดแนะกันหลาย ๆ คน หลาย ๆ ชุมชน ได้ร่วมกันยกภัตตาหารไปทำบุญเลี้ยงเพลพระ ณ วัดใดวัดหนึ่ง
สดับลูกสวดมนต์ละเงียย (ฟังเจริญพระพุทธมนต์เย็นก่อนวันพระ)
ผู้คนหนุ่ม สาว ผู้หลักผู้ใหญ่ ถือพานดอกไม้ธูปเทียน ไปวัดช่วงค่ำคืนก่อนถึงวันพระ เพื่อฟังพระสงฆ์ในวัดเจริญพระพุทธมนต์เย็น
ปล็อยเเปรต (ปล่อยเปรต)
ในรอบปี ผู้คุมจะปล่อยวิญาณเปรตทั้งหลายจากเขาตรีกูฏขึ้นมาท่องเที่ยวบนโลกมนุษย์ ๑ ครั้ง ปล่อยให้มาเยี่ยมบ้าน เยี่ยมญาติ คือ ตั้งแต่วันขึ้น ๑๕ ค่ำ(เบ็ณตู๊จ) ถึง วันแรม ๑๕ ค่ำ (เบ็ณทม) โดย วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ ( งัยเป็งบ็อล แคเบ็ณ งัยปล็อยเเปรต)เป็นวันปล่อย และ เวลาเช้าของวันแรม ๑๕ ค่ำ (งัยด็าจส์)เป็นวันส่งกลับหรือรับกลับ ตั้งแต่วันแรม ๘ ค่ำถึงวันแรม ๑๕ ค่ำ จำนวน ๗ วัน พวกวิญญาณเปรต จะเดินทางไปเฉพาะที่วัดเท่านั้น เพื่อรอรับเอาส่วนบุญที่หมู่ญาติพี่น้องลูกหานทั้งหลายของตนทำบุญการอุทิศให้ ถ้าไม่พบหมู่ญาติพี่น้องลูกหลานของตนไปทำบุญอุทิศให้ที่วัดหนึ่ง วิญญาณเปรตก็จะเดินทางไปหาหมู่ญาติพี่น้องลูกหลานของตนที่วัดอื่น ๆ ใกล้เคียงกันต่อไป ตลอด ๗ วันนี้ จะท่องเที่ยวหาญาติพี่น้องลูกหลานของตนครบจำนวน ๗ วัด ๗ วา ถ้าไม่พบหมู่ญาติพี่น้องลูกหลานของตน มาทำบุญอุทิศให้ ณ วัดใดวัดหนึ่งเลย วิญญาณเปรตก็นั่งร้องไห้ และสาบแช่งหมู่ญาติพี่น้องลูกหลานคนนั้น ๆ (อวยฉิบหาย กะซจ กะเซ็น เฮ็นฮัย กะไม๊ยเมียน กะไม๊ยเกิดเล็ย) ให้ฉิบหาย ตกต่ำ หากินไม่รุ่งเรือง ให้อดอยาก ยากจนข้นแค้น ตกทุกข์ได้ยาก ต่าง ๆ นานาประการ ฯลฯ
เทอบ็อญอุติส
( ทำบุญอุทิศ ให้อย่างเห็นใจ ให้อย่างจริงใจ ให้อย่างคิดถึงห่วงใยอาทร ให้อย่างจงรักภักดี ให้อย่างบริสุทธิ์ใจ ) อุทิศ แปลว่า เฉพาะเจาะจง มาจากภาษาบาลี (อุ+ทิส ) อุ = ขึ้น,นอก ทิส=มอง, แลดู, เห็น, มองเห็น อุทิศ จึงมีความหมายว่า จ้องมองเฉพาะคนใดคนหนึ่ง , มองเห็นเฉพาะบุคคล , มองเจาะจงตัวบุคคล, ยกให้เจาะจง , เจาะจงให้เฉพาะ ,ให้ความสำคัญมากที่สุดเฉพาะ อุทิศใช้คู่กับบุญ เช่น ทำบุญอุทิศ, อุทิศส่วนบุญส่วนกุศล, กรวดน้ำอุทิศ, ส่วนบุญส่วนกุศลนี้อุทิศให้… , อุทิศบุญด้วยน้ำสะอาด เป็นต้น เมื่อชาวเขมรประกอบพิธีกรรมในเทศกาลเบ็ณทม แสดงกิริยาอาการต่าง ๆ ทางกาย ทางวาจา และทางใจ เช่น กันซง มีความหมายเต็มว่า ถือสัจจะในการทำบุญกับพระสงฆ์ ใกล้เคียงกับคำว่า กันซ็อง ตะร็องเจิ๊ด ไปทำบุญกันที่วัด และไปแต่เช้า ๆ ทุกวัน ตลอด ๖ วัน กิจกรรมกันซงที่ประกอบเป็นวิธีการ มีการจัดสะปวกถวายพระ จัดทำกระต็วงบายดา จัดทำบายเบิ๊ดตะโบ ตักบาตร สวดดา ถือน้ำขวดกรวดน้ำสะอาด ห่อข้าวต้ม ทำขนมนมเนย และการฉลองซง แซนโฎนตา ในวันแซนโฎนตา จะลุกจัดสถานที่แซนโฎนตา เตรียมการแต่เช้า จัดก็จัดบนบ้าน เลือกเฉพาะพื้นเรือนชั้นสูง ๆ ปูลาดชั้นล่างสุดด้วยเสื่อ ทับลงด้วยฟูกหลังใหม่ให้หันไปทางตะวันออก ด้านหัวพับฟูกเป็น ๒ ชั้น ปูผ้าขาวคลุมฟูกอีกที แล้ววางหมอนบนหัวฟูก จัดพานดอกไม้ขันธ์ ๕ วางบนฟูก จัดกระเฌอโฎนตาวางข้างซ้ายฟูก(กระเฌอใส่ของโฎนตา) พร้อมของกินของใช้ที่จำเป็นในการอยู่การดำรงชีวิต หาของป่ายาสมุนไพร (เฉพาะสมอและมะขามป้อม) เมล็ดพันธุ์ธัญญาหาร พืชพันธุ์ พันธุ์ผักพื้นบ้าน ขนม ข้าวต้ม ผลไม้ ที่สามารถจัดหาได้ในครัวเรือนในชุมชนและตามป่าตามทุ่งนา หวังฝากส่งให้ถึงโฎนตาจะได้นำไปปลูก ไปขยายพันธุ์ ไปกินไปใช้สอยได้ หาใส่รวมไว้ให้ครบครันในกระเฌอโฎนตา จัดตั้งซะแนน หรือ ซะปวก ๑ ซะปวก สำรับกับข้าวและน้ำดื่มสะอาดไว้ต้อนรับ เรียบตะต็วลโฎนตาวางข้างขวาฟูก จุดเทียนธูปตลอดเวลาตลอดวัน หาเสื้อผ้า ผ้านุ่งผ้าสไบผืนใหม่ ๆ สำหรับทั้งชายและหญิงสีสดไว้บนภาชนะถาดรองรับจัดวางไว้ใกล้ซะแนนแซน เมื่อญาติพี่น้องลูกหลาน เขยสะใภ้ มาจากที่ใกล้หรือที่ไกลต่างถือของกินของใช้ เสื้อผ้า อาหารสุก อาหารดิบ ผลหมากรากไม้ หรือเงินตรา ติดมือมาฝากบูชาพ่อแม่(จูนเบ็ณ/จูนโฎนตา) และแซนโฎนตา ถึงเรือนแล้วก็ขึ้นตรงไปแซนโฎนตา ช่วยกันเรียกหาบรรพบุรุษออกชื่อออกนามสกุลให้ถูกต้องให้ชัดเจนและเรียกเสียงดัง ๆ เป็นการ ปะจุมโฎนตา หรือชุมนุมโฎนตา เพื่อ“ซีเจาะ โฮบปะซากระยาบูชา” เรียกแล้วก็กรวดน้ำให้ เรียกซ้ำกรวดซ้ำครั้งละ ๓ หน ยกส่วนบุญส่วนกุศลให้ก็ใช้น้ำโดงเลาคือน้ำมะพร้าวบริสุทธิ์ เพราะหาง่ายไม่ต้องจ่ายซื้อ ญาติพี่น้องลูกหลาน เขย สะใภ้ คนนับถือคนใหม่มาก็แซนโฎนตาอย่างนั้นทุกรอบไป แม้เจ้าบ้านเดินไปเดินมา ห่อข้าวต้มบ้าง ทำขนมบ้าง หรือทำงานอื่น ๆ อยู่ ถ้านึกได้ คิดได้ถึงบรรพบุรุษคนไหนคนใหม่ ชัดในใจว่ายังไม่เรียกหายังไม่ได้บอกกล่าวถึง ก็ขึ้นไปแซนใหม่ ซ้ำ ๆ เวียนขึ้นเวียนลงตลอดทั้งวัน ผู้หลักผู้ใหญ่ในหมู่บ้านหรือญาติมิตรเพื่อนบ้าน บ้านใกล้เรือนเคียงต่างชวนต่างช่วยกันแซนโฎนตาคนละที ขึ้นบ้านนี้ลงบ้านนั้นไปบ้านโน้น ตั้งแต่ช่วงบ่ายจนเย็นค่ำ ยามไปมาหาสู่กันก็มีของฝากกัน ของแลกเปลี่ยนกัน ให้บ้านโน้น แลกบ้านนี้ เป็นขนมบ้าง ข้าวต้ม ผลไม้บ้าง อาหารบ้าง บางบ้านก็จัดหาอาหารมาทานร่วมกันด้วย คนเฒ่าคนแก่ ผู้หลักผู้ใหญ่สอนไว้ว่า “ เมื่อออกบ้านมีเรือนแล้ว ให้ลูกจัดกระเฌอโฎนตาที่บ้านของตนด้วย เพื่อว่าตายายจะได้ไปมาหาสู่ จะได้ให้การต้อนรับ ตายายได้ ซีเจะ โฮบปะซาแล้ว จะได้ให้พร ให้หากินรุ่งเรือง อยู่เย็นเป็นสุข และแต่ละบ้านจะมีผีบ้านผีเรือน เมี๊ยบาปะเตี๊ยซะแม็ง รักษาดูแลอยู่” ลูกหลานรุ่นหลังบ้านใดที่เชื่อฟังและทำตามเมื่อถึงวันโฎนตาทุกปี คนเฒ่าคนแก่ ผู้หลักผู้ใหญ่ในตระกูล ก็จะพากันมาช่วยแซน ช่วยเรียกโฎนตาอย่างอบอุ่น ลูกสะใภ้คนดีต้องจูนโฏนตา จัดของกินของใช้ เสื้อผ้า อาหารสุก อาหารดิบ ผลหมากรากไม้ หรือเงินตรา ตามความเหมาะสมไปบูชาคุณพ่อคุณแม่ทั้ง ๒ ฝ่าย คือ พ่อแม่ฝ่ายตนและพ่อแม่ฝ่ายสามี การจูนโฎนตาจะกระทำก่อนวันหรือกระทำในวันแซนโฎนตาก็ใช้ได้ ที่บ้านก็จัดแซนโฎนตาปลูกฝังความดีในครอบครัว หน้าที่จูนโฎนตาก็ไม่ดูดาย ได้เวลาเย็นพลบค่ำ ประมาณว่าวัวควายเข้าคอกแล้ว ก็พาสมาชิกในครอบครัวร่วมแซนโฎนตาสรุปใหญ่ ก่อนแซนโฎนตาบูชาบรรพบุรุษ เพื่อให้บุญกุศลมีกำลังแรงและส่งถึงโฎนตาได้มาก ๆ ทุกคนในครอบครัวก็ต้องทำตนให้บริสุทธิ์ทั้งกายวาจาใจก่อน ด้วยการให้น้องถือพานดอกไม้ธูปเทียนกล่าวคำขอขมาลาโทษ ขอโทษขออภัยที่เคยผิดพลาดล่วงเกินพลาดพลั้งต่อพี่ น้องกับพี่ทำการขอขมาอย่างนี้ต่อ ๆ กันตามลำดับ เริ่มที่น้องสุดท้องน้องสุดท้ายก่อน เมื่อถึงพี่คนโตลูก ๆ ทุกคนก็รวบรวมสิ่งของเสื้อผ้างาม ๆ เงินทองของมีค่าของมีคุณใส่พานพร้อมดอกไม้ธูปเทียนไว้บนสุดทำการขอขมาลาโทษ และมอบของบูชาคุณพ่อคุณแม่ ( ถ้าแยกครัวเรือกันแล้วจะกระทำก่อนวันโฎนตาหรือช่วงเช้าจึงควร) ขอศีลขอพรจากคุณพ่อคุณแม่ พ่อและแม่จะทำการขอขมาต่อคุณตาคุณยาย และโฎนตาตามลำดับ แล้วพากันแซนโฎนตาสรุปรอบสุดท้ายของที่บ้าน พ่อกับแม่และลูก ๆ ช่วยกันทบทวนชื่อเสียงเรียงนามของบรรพบุรุษทั้งหมด เรียกซ้ำกรวดซ้ำ ๓ หน ให้ตายายผัดเปลี่ยนสวมใส่เสื้อผ้าผืนใหม่เตรียมตัวไปรับศีลรับพรที่วัดค่ำนี้ ทั้งบอกลูก ๆ ให้เข้าใจและช่วยกันกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้อย่างถูกต้องถูกวิธีบุญกุศลจะส่งถึงโฎนตาจริง ประกอบกับโฎนตามีจิตเป็นสัมมาทิฏฐิจึงรับอนุโมทนาบุญได้โดยสะดวก ด้วยคำว่า “แซนขม็อจกะไม๊ยซร็อจซรา แซนโฎนตาอ็อย ซร็อจตึกโดง” ถึงที่สุดก็เรียกถึงผีบรรพบุรุษที่ไม่รู้จัก เรียกรวม เรียกรวบ เรียกทั้งกลุ่ม เรียกตามประเภท สุดท้ายจัดห่อข้าวปลาอาหารใส่กระทงใบตอง จัดไว้เป็น ๒ ส่วน ส่วนที่ ๑ โยนปจีไปนอกเรือนชาน หรือนำไปวางไว้ตามถนนหนทาง มีทางแพร่ง ทางสามแยกบ้าง ทางสี่แยกบ้าง ส่วนที่ ๒ ใส่ไว้ในกระเฌอโฎนตา ทั้ง ๒ ส่วนนี้ทำให้เพื่อฝาก เพื่อแจกแบ่งให้ทั่วถึงผีเปรตวิญญาณเร่ร่อน ผีเปรตพิกลพิการ ผีเปรตหูหนวกตาบอด “เนียะควะขะเม็น กะจอก กูดงัว” ผีเปรตขี้อาย ผีเปรตที่ไม่ใช่ญาติ ผีเปรตไม่มีญาติ มาไม่ได้ มาไม่ถึง มาไม่ทัน ไม่กล้ามา ไม่กล้าเข้าเรือน หลังแซนอุทิศโฎนตาแล้วพ่อแม่ก็ขอพรจากโฎนตาให้พี่น้องลูกหลานปราศจากทุกข์ โศก โรค ภัย โทษ อันตราย สิ่งไม่พึงปรารถนาทั้งปวง ขอให้ครอบครัวพี่น้องลูกหลานได้ประสบสุขประสบโชค อยู่เย็นเป็นสุขร่วมกัน หลังจากนั้นช่วยกันรื้อจัดเก็บสถานที่ เตรียมพร้อมไว้แต่กระเจอโฎนตา นำกระเฌอโฎนตาไปวัด ฟังพระสวดมนต์อุทิศบุญกุศล ดาหรือบังสุกุลในยามค่ำคืน ช่วงจบแต่ละบทสวด ซึ่งมีหลายตอน ก็เรียกโฎนตาด้วยเสียงดัง ๆ และยกน้ำมะพร้าวกรวดน้ำให้ เป็นช่วง ๆ เสร็จแล้วกลับไปบ้าน แล้วรีบลุกขึ้นใหม่แต่ดึกประมาณหน่อยตี ๔ พร้อมบายเบ็ณ ไปวัดฟังพระสวดมนต์อุทิศ ดาหรือบังสุกุลอีกรอบทำเหมือนกับตอนเย็น ก่อนที่จะรุ่งสางจะเอากระเฌอโฎนตาไปเทในสถานที่ใกล้ตอไม้ หรือที่เหมาะสม เพื่อผีเปรตวิญญาณเร่ร่อน ผีเปรตไม่มีเสื้อผ้าสวมใส่ ผีเปรตขี้อาย ผีเปรตที่ไม่ใช่ญาติ ผีเปรตไม่มีญาติ มาไม่ถึง มาไม่ทัน ไม่กล้ามา ไม่กล้าเข้ากลุ่ม มารับเอาได้ แล้วเอากลับไป การจะกระเจอโฎนตาคือ การส่งวิญญาณเปรตกลับภพภูมิ บุญสุดท้ายแห่งเทศกาล คือ การไปวัดทำบุญตักบาตร วันเบ็ณทม จัดถือข้าวปลาอาหาร ข้าวต้ม ขนมนมเนย ทำบุญถวายพระ และมีการจดชื่อบรรพบุรุษ และผู้ล่วงลับดับชีวิตไปก่อนเพื่อทำบุญอุทิศ สวดดา อีกครั้ง เป็นครั้งสุดท้ายของเทศกาลเบ็ณทม เทศกาลเบ็ณทม และการแซนโฎนตา เป็นการกระทำเพื่อการอุทิศบุญกุศลให้บรรพบุรุษอย่างมีศรัทธา มีความเชื่อ ความรักความเมตตาปราณีต่อผีเปรตวิญญาณอื่น ๆ อย่างจริงใจ บริสุทธิ์ใจ อุทิศส่วนบุญให้อย่างกว้างขวาง ทั่วถึง ทุกระดับชนชั้น ทุกประเภท และมีคุณค่าทางสังคม ทางชุมชน ทางครอบครัว เพราะมีการแลกเปลี่ยน การแบ่งปัน การดูแลเอาใจใส่กัน การไปมาหาสู่กัน การขอขมาลาโทษซึ่งกันและกัน บ้านใดเรือนใดทำการแซนโฎนตาได้อย่างถูกต้องและต่อเนื่องทุกปี จะเป็นบ้านที่มีหมู่ญาติลูกหลานและคนนับถือเป็นที่รักจำนวนมาก จะเพิ่มพูนฐานะทางสังคม จะเพิ่มพูนคุณธรรม จะเพิ่มพูนความสงบสุขร่มเย็นต่อเนื่องไป
กันซง
กิจกรรมและพิธีกรรม ที่มีการจัดสะปวกไปถวายพระ ทำกระต็วงบายดา ทำบายเบิ๊ดตะโบ ตักบาตร ถือน้ำขวดกรวดน้ำสะอาด ทำขนม ห่อข้าวต้ม ฉล็องซง ไปวัด และไปแต่เช้า ๆ ทุกวัน ตลอด ๖ วัน เริ่มตั้งแต่วันแรม ๙ ค่ำ ถึง แรม ๑๔ ค่ำ รวมวันพระแรม ๘ ค่ำด้วย เป็น ๗ วัน กันต็วงบายดา ( กระทงข้าว) กระทงเย็บด้วยใบตอง ใส่ข้าวพร้อมกับแกงและเงินเหรียญ เอากรวยใบตวง ครอบกระทงข้าว ปักธูป ๑ ดอก กลางกรวย เป็นอาหารที่จัดแบ่งไว้เซ่นอุทิศให้ผู้ตาย ใช้ประกอบพิธีการสวดดา เปลี่ยนกระทงใบใหม่ทุกวัน ใช้ประกอบพิธี ตั้งแต่วันแรม ๑๑ ค่ำ ถึง วันแรม ๑๕ ค่ำ รวม ๕ เช้า นำไปพร้อมกับบายเบิ๊ดตะโบ และบายเบ็ณ หรือนำไปพร้อมกันซง ( แต่ละพื้นที่ยังต่างกัน) ใส่ในกระเจอโฎนตาก็ใช่ สวดดา สวดดา คือ การสวดมนต์บทต่าง ๆ ที่ใช้ในงานอวมงคล เกี่ยวกับงานศพ งานทำบุญอุทิศ หรือบังสุกุล และมีการจัดทำกระต็วงบายดา หรือ บายเบิ๊ดตะโบ หรือ บายเบ็ณ ประกอบไว้ด้วย ตลอดเทศกาลเบ็นทมจะสวดจำนวน ๗ ครั้ง คือ เช้ามืด วันแรม ๑๑ ค่ำ ถึง วันแรม ๑๕ ค่ำ ค่ำวันแรม ๑๔ ค่ำ และ เช้าวันพระเบ็ณทม ( เวลาและจำนวน มีการเปลี่ยนแปลงตามแต่ละพื้นที่) บายเบิ๊ดตะโบ ข้าวเหนียวหุง ปั้นเป็นก้อนขนาดใหญ่หัวแม่มือเล็กน้อย จัดเรียงต่อ ๆ กันไว้ในพานเป็นเนินข้าว โรยงาบด ปิดด้วยกรวยใบตอง ปักธูป ๑ ดอก นำไปวัดรอบแรกแต่เช้ามืดทุกเช้า เพื่อนิมนต์พระสงฆ์สวดดา นำไปพร้อมกระต็วงบายดา อุทิศบุญแล้วกลับมาบ้าน เริ่มวัน แรม ๑๑ ค่ำ เดือน ๑๐ - วัน แรม ๑๔ ค่ำเดือน ๑๐ จำนวน ๔ เช้า/วัน ห่อข้าวต้ม ทำขนมฉล็องซง วันแรม ๑๓ ค่ำเดือน ๑๐ เจริญพระพุทธมนต์ฉล็องซง ค่ำคืนวันแรม ๑๓ ค่ำเดือน ๑๐ ฉล็องซง เช้าวันแรม ๑๔ ค่ำเดือน ๑๐ จูนโฎนตา / จูนเบ็ณ จูน ตรงกับคำว่า ส่ง มีความหมายว่า เอาไปส่ง , เอาส่งให้ ,เอาไปส่งให้ หมายถึง การที่ลูกหลาน เขย สะใภ้ นำสิ่งของ ของกิน ของใช้ เงินทอง เสื้อผ้า มอบให้หรือบูชาคุณพ่อคุณแม่ เป็นเหตุให้มีการหยุดงาน ลางาน เพื่อกลับเยี่ยมบ้าน ไหว้พ่อแม่ ไหว้ตายาย พบปะพี่น้องลูกหลาน ทานข้าวร่วมกัน ทำบุญร่วมกัน ทำกันได้ตลอดเทศกาลเบ็ณทม กระทำกันก่อนวันหรือในวันแซนโฎนตาก็ใช้ได้ กร็านบ็อน กร็านปูก กร็านเท็ดซอ เรียบเขนย เวลา เช้าก่อนจะทำสิ่งอื่น ในวันแรม ๑๔ ค่ำเดือน ๑๐ เรียบกระเฌอโฎนตา หาของป่า เมล็ดพันธุ์ พันธุ์พืช พันธุ์ผักสวนครัวต่าง ๆ อาหาร ขนม ข้าวต้ม ของใช้อื่น ๆ หามาใส่กระเจอโฎนตา หาใส่ได้เรื่อย ๆ ทั้งวัน ของป่า ๒ อย่าง มีสมอและมะขามป้อม เมล็ดพันธุ์ เช่น พันธุ์ข้าว พันธุ์แตง ถั่ว งา ต่าง ๆ พันธุ์พืช เช่น อ้อย พันธุ์ผักสวนครัว เช่น ตะไคร้ ขิง ข่า กระชาย ตระเพรา โหระพา ใช้ขยายพันธุ์หรือประกอบอาหาร เช่น พริก หอม กระเทียม ผักประกอบอาหาร เช่น ฝัก แฝง แตง ของใช้อื่น ๆ เช่น สบู่ ผงซักฟอก น้ำยาล้างจาน เงิน เรียบตะต็วล ( จัดสำรับไว้ต้อนรับ) ต้อนรับด้วยข้าวปลาอาหารหวานคาว และน้ำดื่มสะอาด จัดสำรับที่บ้าน เรียกหมู่ญาติที่รู้จักและไม่รู้จัก เรียบซะแนน หรือ เรียบซะปวก ( สำรับ) สำรับ ที่จัดใส่อาหารหวานคาว และน้ำดื่มสะอาด จัดผลไม้ด้วยเป็นความนิยมใหม่ จัดไว้เป็นชุด ซะแนน นับเป็นเครื่องเซ่นไหว้ มีไว้ให้ ให้แบบทิ้งขว้างได้ ส่วนซะปวก ถือเป็นสำรับที่ให้การต้อนรับอย่างมีเกียรติ และบูชาคุณ ซะปวก เป็นได้ทั้งคำนาม และลักษณะนาม ห่อข้าวต้มเบ็ณทม วันแรม ๑๔ ค่ำเดือน ๑๐ หลังจากกลับจากการฉล็องซงแล้ว แซนโฎนตา วันแรม ๑๔ ค่ำเดือน ๑๐ ใช้ โดงเลา น้ำมะพร้าวบริสุทธิ์ สวดกระเฌอโฎนตา ค่ำคืนวันแรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๐ บายเบ็ณ ข้าวเหนียวหุง ปั้นเป็นก้อนขนาดใหญ่หัวแม่มือเล็กน้อย จัดเรียงต่อ ๆ กันไว้ในพานเป็นเนินข้าว โรยงาบด ปิดด้วยกรวยใบตอง ปักธูป ๑ ดอก นำไปวัดรอบแรกแต่เช้ามืดวันสุดท้าย เพื่อนิมนต์พระสงฆ์สวดดา นำไปพร้อมกระต็วงบายดา อุทิศบุญแล้วจะกระเฌอโฎนตา ในแรม ๑๔ ค่ำเดือน ๑๐ จำนวน ๑ ครั้ง บายสะบะแซร / สะบะซร็อว ( เอาข้าวที่ผ่านพิธีกรรมไปหว่านลงในนาข้าว ) ข้าวเหนียวที่ปั้นเป็นก้อน ๆ บายเบิ๊ดตะโบก บายเบ็ณ ที่ผ่านการสวดดาที่วัดในช่วงเช้ามืดทุกเช้าแล้วนั้น เป็นข้าวที่โฎนตาได้ให้พรแล้ว เป็นสิ่งมงคล ก็นำกลับมาโปรย มาหว่านในนาข้าว ด้วยความปรารถนาให้ข้าวสวยงาม ไม่เป็นโรค ให้ออกดอก ใส่เม็ดเต็มเม็ดเต็มหน่วย หรือนำไปโปรยในสวน ด้วยความปรารถนาดีต่อพืชพันธุ์ธัญญาหารเจริญงอกงามเติบโต แข็งแรง เมื่อปรารถนาดีในสิ่งใด ๆ ก็หว่านลงในที่นั้น ๆ เป็นกำลังใจในการทำมาหากิน
สาระ/หลักคิดเพื่อปัญญา
การเซ่น ๓ กลุ่ม / ระดับ แซนโฎนตา บูชาบรรพบุรุษ กลุ่ม/ระดับที่ ๑ เป็นบรรพบุรุษ ต้นตระกูล ปู่ย่า ตายาย บุคคลที่เคารพบูชาในตระกูล ญาติที่ล่วงลับชีวิตก่อน ประกอบพิธีเซ่นบนบ้าน จัดตกแต่งสถานที่ จัดสิ่งของเซ่นไหว้อย่างครบครัน ข้าวปลาอาหารของหวาน ของคาว ขนมนมเนย ผลหมากรากไม้ เสื้อผ้าอาภรณ์ จัดอย่างสวยงาม อลังการ ใช้ภาชนะจาน ชาม ถาด อย่างดี หรือมีการจัดทำที่วัดเป็นพิธีที่งดงามเรียบร้อย การเซ่นไหว้แบบนี้จัดเป็นการไหว้ผีบรรพบุรุษ ยกย่องประกาศคุณให้การบูชา ให้เกียรติในฐานะบรรพบุรุษ จัดเป็นบุคคลที่ควรบูชา และ จัดเป็น ปุพพเปตพลี ทำบุญอุทิศให้ผู้ตาย แซนขม็อจ กลุ่ม/ระดับที่ ๒ ผีบ้านผีเรือน รุกขเทวา นางไม้ นางตานี นางตะเคียน ผีต้นเสา เจ้าที่เจ้าทาง เจ้าป่าเจ้าเขา ภูมเทวา สิงอยู่จอมปลวก ตามพื้นดิน เป็นเทวดาชั้นต่ำสุด คือชั้นจาตุมมหาราชิกา ประกอบพิธีเซ่นด้วยการจัดใส่กระทงใบตอง วางนอกบ้านข้างล่างชั้นพื้นดิน การเซ่นวิธีนี้จัดเป็น เทวตาพลี ทำบุญอุทิศให้เทวดา ปจีขม็อจ / จะกระเจอโฎนตา กลุ่ม/ระดับ ที่ ๓ ผีไร้ญาติ ผีเปรต ผีอนาถา อสุกายขี้อาย ผีพเนจร สัมภเวสี เร่ร่อนยังไม่ไปผุดไปเกิด เข้ากลุ่มไม่ได้ ขึ้นเรือนไม่ได้ ที่จัดไว้ในส่วนปรทัตตูปชีวีเปรต สามารถรับส่วนบุญที่อุทิศให้ได้ จัดเป็น ปุพพเปตพลี ทำบุญอุทิศให้ผู้ตาย และประกอบพิธีเซ่นด้วยการแบ่งอาหารที่เหลือจากการเซ่นกลุ่มที่ ๑ และ ๒ จัดห่อไปวางไว้ การโยนให้ โปรยให้ นอกบริเวณบ้าน ทางแพร่ง ตามทางสามแยก ทางสี่แยก หรือจัดพิธีให้เฉพาะเช่นจัดที่วัด มีการเทกระเฌอโฎนตาก่อนรุ่งสาง
จุดเน้นเพื่อความถูกต้อง
- บูชาบรรพบุรุษด้วยน้ำดื่มสะอาด น้ำบริสุทธิ์ คือ น้ำเปล่าและ น้ำมะพร้าว “โดงเลา น้ำมะพร้าวบริสุทธิ์” - แซนโฎนตาเป็นกลยุทธ์การส่งเสริมคุณธรรมครอบครัว เกิดกระบวนการที่งดงามมาพร้อมกับกับแซนโฎนตา - วิธีการ ขั้นตอน รูปแบบ แต่ละพื้นที่อาจแตกต่างกันได้ หรือปรับเปลี่ยนกันได้เพื่อความเหมาะสม เพื่อการพัฒนา แต่หลักธรรม หลักการ กระบวนการ วัตถุประสงค์ หลักคิด แนวคิดความเชื่อศรัทธาต้องเป็นอันเดียวกัน
หลักธรรม ที่สร้างภูมิปัญญา เชื่อมโยงกับการแซนโฎนตา
“ นิมิตฺตํ สาธุ รูปานํ กตญฺญูกตเวทิตา ความกตัญญู กตเวที เป็นเครื่องหมายของคนดี” “ ปูชา จ ปูชนียานํ เอตมฺมํคลมุตฺตมํ การบูชาบุคคลที่ควรบูชา เป็นมงคลอันสูงสุด ” “ มารดาบิดา เป็นพรหมของบุตร” “มารดาบิดา เป็นพระอรหันต์ในบ้าน” “ มารดาบิดา เป็นบูรพาจารย์”
บุคคลหาได้ยาก ๒ อย่าง
๑. บุพพการี บุคคลผู้ทำอุปการะก่อน ๒. กตัญญูกตเวที บุคคลผู้รู้อุปการะที่ท่านทำแล้ว และตอบแทน
ปุรัตถิมทิส ทิศเบื้องหน้า มารดาบิดา บุตรพึงบำรุงด้วยสถาน ๕
๑. ท่านเลี้ยงมาแล้ว เลี้ยงท่านตอบ ๒. ทำกิจของท่าน ๓. ดำรงวงศ์สกุล ๔. ประพฤติตนให้เป็นคนควรรับมรดก ๕. เมื่อท่านล่วงลับไปแล้ว ทำบุญอุทิศให้ท่าน
สัมมาทิฏฐิ ๑๐
๑. ทานที่ให้แล้วมีผล ๒. ยัญที่บูชาแล้วมีผล ( การบูชาบุคคลที่ควรบูชามีประโยชน์) ๓. การเซ่นสรวงมีผล ( การสงเคราะห์ การช่วยเหลือ การพลีกรรม มีผลดี ไม่เปล่าประโยชน์) ๔. ผลของการกระทำความดี ความชั่วมีจริง ๕. โลกนี้มีคุณ ( ชีวิตในปัจจุบันมีคุณค่ามากในการทำความดี) ๖. โลกหน้ามีจริง ๗. มารดามีคุณ ๘. บิดามีคุณ ๙. สัตว์ที่เกิดเป็นโอปปาติกะมี ( สวรรค์ นรก มีจริง ) ๑๐. ในโลกนี้มีพระอรหันต์จริง ( มีผู้ฝึกตนจนละกิเลสได้จริง)
สังสารวัฏฏ ๓ การเวียน ว่าย ตาย เกิด กิเลส กรรม วิบาก
ติโรกุฑฑสูตร
เปรตเหล่านั้นมาส่งเสียงร้องน่าสะพรึงกลัวในคืนนั้น รุ่งขึ้น พระเจ้าพิมพิสารจึงมาเข้าเฝ้าพระศาสดา ทูลถามถึงเสียงร้องนั้น พระองค์ตรัสเล่าเหตุทั้งหมด พระเจ้าพิมพิสารจึงถวายมหาทานทั้งภัตตาหาร ผ้า และเสนาสนะ แล้วอุทิศส่วนกุศล ทันใดนั้นอาหารทิพย์ ผ้าทิพย์ ปราสาททิพย์ ก็บังเกิดขึ้นแก่เปรต พระศาสดาทรงอธิษฐานให้พระราชาเห็น พระราชาทรงดีพระทัย
( ข้อความจากพระไตรปิฎก ฉบับภาษาไทย)
พวกเปรตพากันมาสู่เรือนของตน
บ้างยืนอยู่ที่ฝาเรือนด้านนอก บ้างยืนอยู่ที่ทางสี่แพร่งสามแพร่ง บ้างยืนพิงอยู่ที่บานประตู เมื่อมีข้าวและน้ำดื่มมากมาย เมื่อของเคี้ยวของกินถูกจัดเตรียมไว้แล้ว ญาติสักคนก็ไม่นึกถึงเปรตเหล่านั้น เพราะกรรมของสัตว์ทั้งหลายเป็นปัจจัย เหล่าชนผู้อนุเคราะห์ ย่อมให้อาหารและน้ำดื่มที่สะอาดประณีต เหมาะแก่พระสงฆ์ตามกาล อุทิศให้ญาติทั้งหลาย(ที่เกิดเป็นเปรต) อย่างนี้ว่า ขอทานนี้จงสำเร็จแก่ญาติทั้งหลาย ขอญาติทั้งหลายจงเป็นสุขเถิด ส่วนญาติที่เกิดเป็นเปรตเหล่านั้น พากันมาประชุมพร้อมกัน ณ ที่ให้ทานนั้น ย่อมอนุโมทนาในอาหารและน้ำดื่มเป็นอันมากโดยเคารพ เพราะเหตุแห่งญาติเหล่าใดพวกเราจึงได้สมบัติเช่นนี้ ขอญาติเหล่านั้นของพวกเราจงอายุยืน อนึ่ง การบูชาญาติ ผู้เป็นทายกก็ได้ทำแก่พวกเราแล้ว และทายกก็ไม่ไร้ผล ก็ในเปตวิสัยนั้น ไม่มีกสิกรรม ( การทำไร่ไถนา) ไม่มีโครักขกรรม ( การเลี้ยงวัวไว้ขาย) ไม่มีพาณิชกรรม (การค้าขาย) เช่นนั้น การแลกเปลี่ยนซื้อขายด้วยเงินก็ไม่มี ผู้ที่ตายไปเป็นเปรตในเปตวิสัยนั้น ดำรงชีพอยู่ด้วยผลทานที่พวกญาติอุทิศให้จากมนุษยโลกนี้ น้ำฝนตกลงมาในที่ดอนย่อมไหลไปสู่ที่ลุ่มฉันใด ทานที่ทายกอุทิศให้จากมนุษยโลกนี้ ย่อมสำเร็จผลแก่เปรตทั้งหลายฉันนั้นเหมือนกัน กุลบุตรเมื่อระลึกถึงอุปการะที่ญาติผู้ละไปแล้วทำไว้ในกาลก่อนว่า ผู้นั้นได้ให้สิ่งนี้แก่เรา ได้ทำสิ่งนี้แก่เรา ได้เป็นญาติ มิตร และสหายของเรา ก็ควรถวายทักษิณาทานอุทิศให้แก่ญาติผู้ละไปแล้ว การร้องไห้ ความเศร้าโศก หรือความร่ำไห้คร่ำครวญอย่างอื่นใด ใคร ๆ ไม่ควรทำเลย เพราะการร้องไห้เป็นต้นนั้น ไม่เป็นประโยชน์แก่ผู้ล่วงลับไปแล้ว ญาติทั้งหลายก็ยังคงสภาพอยู่อย่างนั้น ส่วนทักษิณาทานนี้แหละที่ตั้งไว้ดีแล้วในพระสงฆ์ ย่อมสำเร็จประโยชน์เกื้อกูลแก่เปรตนั้นโดยทันทีสิ้นกาลนาน ญาติธรรม (การสงเคราะห์ญาติ) นี้นั้นท่านแสดงออกแล้ว การบูชาญาติที่ตายไปท่านทำอย่างยิ่งใหญ่แล้ว ทั้งกำลังกายของภิกษุท่านก็เพิ่มให้แล้ว เป็นอันว่าท่านสะสมบุญไว้มิใช่น้อยเลย.
ปิฏฐธีตลิกเปตวัตถุ
หลานสาวของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ทำตุ๊กตาแป้งตกแตก จึงร้องให้ ใคร ๆ ก็ไม่อาจระงับการร้องไห้ของหลานสาวได้ พี้เลี้ยงจึงพามาหามหาเศรษฐีขณะที่เข้าเฝ้าพระศาสดาอยู่ในเรือน เศรษฐีจึงอาราธนาพระศาสดาพร้อมสาวก ๕๐๐ รูปมารับทาน เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่ตุ๊กตาแป้งในวันรุ่งขึ้น หลานสาวจึงหยุดร้องไห้ วันต่อมา หมู่ญาติ พระราชาและชาวเมืองก็ให้ทานคล้อยตามเศรษฐี เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ตุ๊กตาแป้งต่อเนื่องไปอีกถึง ๕ เดือน
ชาณุสสโสณีสูตร
ชาณุสโสณีมาทูลถามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า เมื่อบำเพ็ญกุศลแล้วอุทิศส่วนกุศลให้แก่หมู่ญาติที่ละโลกไปแล้ว ทานกุศลนั้นจะสำเร็จแก่หมู่ญาติหรือไม่ พระศาสดาตรัสว่า ที่สำเร็จแก่หมู่ญาติก็มี ที่ไม่สำเร็จแก่หมู่ญาติก็มี อยู่ที่ภพภูมิที่เขาไปถือกำเนิดก็มี บางคนทำอกุศลกรรมในโลกนี้ ไปบังเกิดเป็นเปรตวิสัย ทานที่อุทิศย่อมสำเร็จแก่เปรตเหล่านั้น แม้ทายกผู้บริจาคทานย่อมไม่ไร้ผลที่ตนเองได้บำเพ็ญบุญเอาไว้
จูฬเสฏฐีเปรต
พระเจ้าอชาตศัตรูนอนไม่หลับ จึงเดินจงกรมบนปราสาท เห็นเปรต จึงถามบุพกรรม ทราบว่า เคยเป็นเศรษฐีมั่งคั่ง แต่มีใจตระหนี่ไม่ให้ทาน ไม่บริจาคทรัพย์แก่ใคร และเชื่อว่าผลทานของชาติหน้าไม่มี ตายไปจึงเกิดเป็นเปรต วันต่อมาก็ทรงเห็นอีก จึงถามว่า เราจะให้ทานอะไรอันจะทำให้เปรตนั้นสมบูรณ์ เปรตก็ตอบว่า ให้ถวายข้าวและน้ำแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระสงฆ์แล้วอุทิศให้ พระเจ้าอชาตศัตรูก็ทำตามคำของเปรตนั้น อุทิศส่วนกุศลให้ ทำให้เปรตกลายเป็นเทวดาทันที
บุญกิริยาวัตถุ
ปัตติทานมัย บุญที่สำเร็จจากการให้ส่วนบุญ ปัตติ แปลว่า ส่วนบุญ, ใบบุญ , ผลบุญ, ทาน แปลว่า การให้ ปัตติทาน ใช้สำหรับผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ เมื่อเราได้กระทำบุญด้วยการทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา หรือทำความดีในรูปแบบต่าง ๆ แล้ว เรานำการกระทำบุญความดีนี้ไปแจ้งผู้ที่เราเอาบุญไปให้ ให้เขาได้อนุโมทนาบุญกับเรา สำหรับผู้ที่เสียชีวิตไปแล้ว นิยมใช้คำว่า การอุทิศ หรือ กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศล ปัตตานุโมทนามัย บุญที่สำเร็จโดยการอนุโมทนาบุญ บุญเกิดจากการเห็นดีด้วย คล้อยตาม มีความปีติ ยินดี อิ่มใจในส่วนบุญที่เขาอุทิศให้ การอนุโมทนาบุญที่ทำให้เกิดบุญเกิดกุศลมาก คือ ต้องเป็นเจตนาที่กระทำด้วยความยินดีประกอบด้วยปัญญา แปลศัพท์ ปัตตา เป็นคำเดียวกันกับ ปัตติ ส่วน อนุโมทนา แปลตามศัพท์ว่า จิตอ่อนโยนตาม, จิตยินดีตาม, จิตปีติตาม , จิตชื่นชมความดีได้ ปรทัตตูปชีวีเปรต เมื่อมีหมู่ญาติทำบุญอุทิศให้ จะต้องอนุโมทนาบุญเป็น จึงจะรับส่วนบุญได้ จิตที่อนุโมทนาบุญเป็นต้องประกอบด้วยจิตที่เป็นสัมมาทิฏฐิ คือ คิดถูก เห็นถูก เข้าใจถูก วินิจฉัยเป็นว่าอะไร ถูกผิด บาปบุญ ชั่วดี คุณโทษ ประโยชน์ มิใช่ประโยชน์ ควร ไม่ควร จิตที่เป็นสัมมาทิฏฐิจึงต้องประกอบอยู่ในสติ สิ่งใดทำลายสติ เช่นน้ำเมา ย่อมขัดขวางการอนุโมทนาบุญ การกรวดน้ำเมาเป็นสิ่งขัดขวางการให้ส่วนบุญ และรับส่วนบุญ การนำน้ำเหล้ามากรวดอุทิศบุญกุศลจึงเป็นการกระทำที่เหนื่อยเปล่า ไม่สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ของการแซนโฎนตาตามความเชื่อทางศาสนา ทั้งทำลายคุณค่าของประเพณีของชนเผ่าอย่างมากยิ่ง
วิธีการกรวดน้ำ
เมื่อพระสงฆ์กล่าวให้พรว่า ยถา วาริ วหา……. ให้จับภาชนะเทน้ำลงในภาชนะรองน้ำ โดยรินน้ำไม่ให้ขาดสายไม่ขาดตอน จนกระทั่งพระสงฆ์กล่าวให้พรตอนจบว่า มณิโชติรโส ยถาฯ ให้เทน้ำจนหมด การกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศล ต้องใช้น้ำสะอาด น้ำเปล่า สำหรับผู้ที่ไม่มีอุปกรณ์ในการกรวดน้ำ ให้ประนมมือ ระลึกนึกถึงบุญที่ตนเองกระทำ แล้วนึกถึงภาพของบรรพบุรุษ พร้อมนึกถึง ชื่อ นามสกุล และกล่าวคำกรวดน้ำแบบย่อดังนี้ “ อิทัง เม ญาตีนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ ญาตะโยฯ ขอส่วนบุญนี้ จงสำเร็จแก่ญาติทั้งหลายของข้าพเจ้า ขอให้ญาติทั้งหลายของข้าพเจ้า จงมีความสุขฯ ”
การอุทิศส่วนกุศล สำเร็จประโยชน์ด้วยเหตุ ๓
๑. ด้วยการอนุโมทนาของผู้รับ ๒. ด้วยการอุทิศของทายกทั้งหลาย ๓. ด้วยการถึงพร้อมแห่งทักขิไณยบุคคล
คติ ๒ ทางที่ไป ( ชีวิตหลังความตาย)
๑. ทุคติ ทางไปไม่ดี คือ อบายภูมิ ภูมิกำเนิดที่ปราศจากความเจริญ อบายภูมิมี ๔ ภูมิ (๑) นิรยภูมิ หรือ นรก โลกที่ไม่มีความสุขสบาย เต็มไปด้วยความทุกข์ล้วน ๆ กำเนิดแบบโอปปาติกะ อุบัติขึ้นโตทันที มหานรก มี ๘ ขุม คือ สัญชีวมหานรก , กาฬสุตตมหานรก, สังฆาฏมหานรก, โรรุวมหานรก, มหาโรรุวมหานรก, ตาปนมหานรก, มหาตาปนมหานรก และ อเวจีมหานรก มหานรกแต่ละขุมมีอุสสทนรก เป็นขุมบริวาร ๑๖ ขุม และ ยมโลก เป็นขุมย่อย ๔๐ ขุม รวมทั้งหมด ๔๕๖ ขุม นรกขุมที่ ๕ มหาโรรุวมหานรก (เสียงร้องใหญ่) เหตุที่มาเกิดในขุมนี้ เพราะดื่มน้ำเมา ขายน้ำเมา หรือเกี่ยวข้องกับน้ำเมา ยาเสพติดต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก (๒) เปตติวิสยภูมิ หรือ ภูมิของเปรต โลกที่อยู่ของสัตว์ผู้ห่างไกลจากความสุข กำเนิดแบบโอปปาติกะ สถานที่อยู่อาศัยไม่แน่นอน เช่น ตามป่า ภูเขา เหว ทะเล เกาะ ต้องทุกข์ทรมานเพราะความหิว ความอดอยากอาหารเป็นอย่างยิ่ง และไม่มีเสื้อผ้าใส่ เหตุที่ได้รับกรรมเช่นนี้เพราะทำอกุศลไว้เมื่อยังเป็นมนุษย์ เมื่อละโลกแล้วจึงมาเป็นเปรต บางพวกไปใช้กรรมในนรกก่อน เมื่อกรรมเบาบางแล้วจึงมาเป็นเปรต ที่อาศัยของเปรตอยู่ในซอกเขาตรีกูฏ ใกล้อสูร บางชนิดอยู่ภพภูมิระดับพื้นดินชั้นเดียวกับมนุษย์เปรตมี ๑๒ จำพวก ๑. วันตาสเปรต เปรตกินน้ำลาย เสมหะ อาเจียน เป็นอาหาร ๒. กุณปาสเปรต เปรตกินซากศพคนหรือสัตว์ เป็นอาหาร ๓. คูถขาทกเปรต เปรตกินอุจจาระต่าง ๆ เป็นอาหาร ๔. อัคคิชาลมุขเปรต เปรตมีเปลวไฟลุกอยู่ในปากเสมอ ๕. สุจิมุขเปรต เปรตมีปากเล็กเท่ารูเข็ม ๖. ตัณหัฏฏิตเปรต เปรตที่ถูกตัณหาเบียดเบียนให้หิวข้าว หิวน้ำอยู่เสมอ ๗. สุนิชฌามกเปรต เปรตมีลำตัวดำเหมือนตอไม้ที่ถูกเผา ๘. สัตถังคเปรต เปรตมีเล็บมือเล็บเท้ายาว คมเหมือนมีด ๙. ปัพพตังคเปรต เปรตมีร่างกายสูงใหญ่เท่าภูเขา ๑๐. อชครังคเปรต เปรตมีร่างกายเหมือนงูเหลือม ๑๑. เวมานิกเปรต เปรตที่เกิดในวิมาน กลางวันเสวยทุกข์ กลางคืนเสวยสุขในวิมาน ๑๒. มหิทธิกเปรต เปรตมีฤทธิ์มาก ปกครองดูแลเปรตอื่น ๆ อยู่ในป่าเชิงเขาหิมาลัย เปรต ๑๒ จำพวกยังมีการแบ่งชนิดอื่นอีกมาก ปรทัตตูปชีวีเปรต เป็นเปรตชนิดหนึ่ง เปรตที่มีโอกาสรับส่วนบุญที่หมู่ญาติอุทิศให้ มักเกิดอยู่ในบริเวณบ้าน หรือภพภูมิระดับพื้นดินชั้นเดียวกับมนุษย์ จึงทราบการทำบุญของหมู่ญาติและอนุโมทนาบุญได้ เปรตชนิดนอกจากนี้ไม่สามารถรับได้ เปรตบางชนิดเท่านั้น ชนิดที่ถูกปล่อยเปรตจัดเป็นปรทัตตูปชีวีเปรต (๓) อสุรกายภูมิ ภูมิที่อยู่ของสัตว์ซึ่งปราศจากความร่าเริง สนุกสนาน ต้องเสวยทุกข์เวทนาเพราะความหิวกระหายอยู่ตลอดเวลา กำเนิดแบบโอปปาติกะ อสุรกายคล้ายเปรตมาก แตกต่างกัน คือ เปรตมีทุกขเวทนาเพราะอดอาหาร ความหิวโหย ส่วนอสุรกาย ทุกขเวทนาเพราะความกระหายน้ำ อสุรกาย มี ๓ ประเภท ได้แก่ เทวอสูร , เปตติอสูร และ นิรยอสูร (๔) เดรัจฉานภูมิ คือ โลกของสัตว์ผู้ไปโดยขวาง ไปไหน มาไหน ต้องไปโดยอาการขวางลำตัว ต้องค่ำอกไป เช่น สุนัข แมว หนู ไก่ งู ปลา เป็นต้น ร่างกายขวางแล้วจิตใจก็ยังขวางอีกด้วย คือขวางจากมรรคผลนิพพาน แม้จะทำดีเท่าไร ก็ไม่สามารถบรรลุมรรคผลนิพพานในชาตินี้ได้ อย่างมากที่สุดก็เพียงไปสวรรค์เท่านั้น ๒. สุคติ ทางไปดี มี มนุสสภูมิ , เทวภูมิ และ พรหมภูมิ (๑) มนุสสภูมิ หรือ มนุสสโลก โลกซึ่งเป็นที่อาศัยของสัตว์ผู้มีใจสูง คำว่า มนุษย์ มาจากคำว่า “มน” อ่านว่า มะนะ แปลว่าใจ รวมกับคำว่า “อุษย์” หรือ “อุตม” (อุดม) แปลว่า สูง มนุษย์จึงหมายถึงผู้มีใจสูง ใจรุ่งเรือง และกล้าแข็ง ลักษณะพิเศษของมนุษย์ ๔ ประการ (๑) มีจิตใจกล้าแข็ง ทำดีได้เต็มที่และทำชั่วได้เต็มที่เช่นกัน (๒) มีความเข้าใจในสิ่งที่เป็นเหตุ ทั้งที่สมควรและไม่สมควร (๓) มีความเข้าใจในสิ่งที่มีประโยชน์และมิใช่ประโยชน์ (๔) มีความเข้าใจในสิ่งที่เป็นกุศลและอกุศล เหตุที่ทำให้มาเกิดเป็นมนุษย์ เพราะเป็นผู้มีมนุษยธรรม คือ ธรรมที่ทำให้เป็นมนุษย์ ซึ่งก็คือ ศีลทั้ง ๕ ข้อ หากเป็นผู้ที่บกพร่องในการรักษาศีลแล้ว ก็ยากที่จะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ได้อีก (๒) เทวภูมิ หรือสวรรค์ คือ ภูมิอันเป็นที่อยู่ของเทวดา กำเนิดแบบโอปปาติกะ อุบัติขึ้นตั้งอยู่ในวัยหนุ่มสาวทันที ยังบริโภกามคุณ ๕ อยู่ สวรรค์มี ๖ ชั้น เป็นภูมิต่ำสูงตามลำดับ ได้แก่ จาตุมมหาราชิกาเทวภูมิ, ตาวติงสเทวภูมิ, ยามาเทวภูมิ, ตุสิตาเทวภูมิ, นิมมานรดีเทวภูมิ และ ปรนิมมิตวสวัตดีเทวภูมิ สวรรค์ชั้นจาตุมมหาราชิกา เป็นสวรรค์ชั้นแรก ชั้นต่ำที่สุด เทวดาชั้นนี้มีหลายประเภท อยู่บนพื้นดิน บนต้นไม้ อยู่ในอากาศ บางพวกปะปนกับที่อยู่ของมนุษย์ มีทั้งเทวดาสัมมาทิฏฐิ เห็นถูก และเทวดามิจฉาทิฏฐิ เห็นผิด เป็นเทวดาที่มีครอบครัวและไม่มีครอบครัว ที่มีความสับสนวุ่นวายเหมือนโลกมนุษย์ เทวดาขี้เมาก็มีจะถูกขับไล่ไปอยู่กับอสูร เรียก เทวดาอสูร คนธรรพ์ (นางตะเคียน นางตานี ) วิทยาธร กุมภัณฑ์ ครุฑ นาค รากษส ยักษ์น้ำ ภุมมเทวา รุกขเทวา อากาสเทวา จัดเป็นเทวดาในชั้นนี้ กุมภัณฑ์ เป็นเทวดาที่มีนิสัยดุร้าย อาจเป็นพญายมราช สุวรรณเลขา สุวานเลขา หรือเจ้าหน้าที่อื่น ๆ เป็นเจ้าหน้าที่ในยมโลกที่คอยตัดสินโทษและลงทัณฑ์สัตว์นรก เหตุแห่งการเกิดในสวรรค์แต่ละชั้น ต้องหมั่นสร้างความดี สั่งสมบุญ บำเพ็ญบารมี หมั่นให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา เป็นต้น และขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์การการทำความดี แบ่งได้ ๔ ประการ คือ ๑. ทำความดีเพราะความกลัว ทำดีเผื่อไว้ ทำดีกันเหนียว อย่างนี้ทำดีได้ไม่เต็มที่ เหมือนเด็กทำดีเพราะกลัวครูหรือพ่อแม่ตี เมื่อละโลกแล้ว ผลบุญส่งให้ไปได้เพียงภุมมเทวา รุกขเทวา หรืออากาสเทวา ๒. ทำความดีเพราะหวังสิ่งตอบแทน เมื่อทำความดีครั้งใด ใจจะคอยคิดหวังลาภหรือของรางวัลต่าง ๆ กลับคืนมา เมื่อละโลกไปแล้ว ผลบุญส่งให้ไปเป็นเทวดาไม่สูงไปกว่าสวรรค์ชั้นจาตุมมหาราชิกา ๓. ทำความดีเพราะหวังคำชม ต้องได้รับคำสรรเสริญจึงจะมีกำลังใจทำความดี เมื่อละโลกไปแล้ว ผลบุญส่งให้ไปเป็นเทวดาไม่สูงกว่าสวรรค์ชั้นจาตุมมหาราชิกา ๔. ทำความดีเพื่อความดี คือทำความดีเพราะคิดว่านั่นเป็นความดี เป็นสิ่งที่ควรทำ ใครจะให้หรือไม่ให้ของใด ๆ ก็ยังทำความดี ใครจะชมหรือไม่ชมก็ยังทำความดี เพราะมั่นใจในความดีที่ตนทำ เมื่อละโลกไปแล้ว ผลบุญส่งให้ไปเป็นเทวดาตั้งแต่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ขึ้นไป ซึ่งขึ้นอยู่กับความประณีตของใจในขณะทำความดี (๓) พรหมภูมิ หรือพรหมโลก ภพอันเป็นที่อยู่ของพรหม พรหมภูมิ อยู่สูงกว่าเทวโลก พรหม คือ ผู้ที่มีความเจริญอยู่ด้วยคุณพิเศษ มีฌาน เป็นต้น รูปร่างพรหมนั้นไม่ปรากฏว่าเป็นหญิงหรือชาย พรหมแบ่งเป็น ๒ ประเภท คือ รูปพรหม ซึ่งมี ๑๖ ชั้น และอรูปพหรม ซึ่งมี ๔ ชั้น
ประโยชน์เกิดแต่การถือโภคทรัพย์
แสวงหาโภคทรัพย์ได้โดยทางที่ชอบแล้ว ๑. เลี้ยงตัว มารดา บุตร ภรรยา บ่าวไพร ให้เป็นสุข. ๒. เลี้ยงเพื่อนฝูงให้เป็นสุข. ๓. บำบัดอันตรายที่เกิดขึ้นแต่เหตุต่าง ๆ . ๔. ทำพลี ๕ อย่าง คือ ( แบ่งปันเล็กน้อย ทำไปเพื่อสงเคราะห์ สบายใจ ธรรมเนียม ค่านิยม ป้องกันภัย ) ก. ญาติพลี สงเคราะห์ญาติ ข. อติถิพลี ต้อนรับแขก ค. ปุพพเปตพลี ทำบุญอุทิศให้ผู้ตาย ฆ. ราชพลี ถวายเป็นของหลวง มีภาษีอากรเป็นต้น ง. เทวตาพลี ทำบุญอุทิศให้เทวดา ๕. บริจาคทานในสมณพรหมณ์ผู้ประพฤติชอบ.
คุณสมบัติชาวพุทธ ๕ ประการ
๑. ประกอบด้วยศรัทธา ๒. มีศีลบริสุทธิ์ ๓. ไม่ถือมงคลตื่นข่าว คือ เชื่อกรรม ไม่เชื่อมงคล ๔. ไม่แสวงหาเขตบุญนอกพระพุทธศาสนา ๕. บำเพ็ญบุญแต่ในพระพุทธศาสนา
มิจฉาวณิชชา คือ การค้าขายไม่ชอบธรรม ๕ อย่าง
๑. ค้าขายเครื่องประหาร ๒. ค้าขายมนุษย์ ๓. ค้าสัตว์เป็นสำหรับฆ่าเพื่อเป็นอาหาร ๔. ค้าน้ำเมา ๕. ค้ายาพิษ
ทานที่ให้แล้วไม่ได้บุญ ไม่ก่อประโยชน์ และเป็นโทษต่อสังคม
๑. ให้สุรา ยาเสพย์ติด เช่น บุหรี่ เหล้า ฝิ่น กัญชา ยาบ้า ฯลฯ ๒. ให้อาวุธ เช่น เขากำลังทะเลาะกัน ยื่นปืน ยืนมีดให้ ๓. ให้มหรสพ เช่น พาไปดูหนังละคร ฟังดนตรี เพราะทำให้กามกำเริบ ๔. ให้สัตว์เพศตรงข้าม เช่น หาสุนัขตัวเมียไปให้ตัวผู้ หาสาว ๆ ไปให้เจ้านาย ฯลฯ ๕. ให้ภาพลามก รวมถึงหนังสือลามกละสิ่งยั่วยุกามารมณ์ทั้งหลาย
พฤษภาคม ๒๕๕๑
- ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๑ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) ตอบรับโครงการฟื้นฟูและอนุรักษ์ลำน้ำห้วยชี (ตอนกลาง) โดย กลุ่มอาสาสมัครพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตำบลทุ่งมน/ตำบลสมุด
มิถุนายน ๒๕๕๑
- ๑ มิถุนายน ๒๕๕๑ เริ่มดำเนินโครงการฟื้นฟูและอนุรักษ์ลำน้ำห้วยชี (ตอนกลาง) โดย กลุ่มอาสาสมัครพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตำบลทุ่งมน/ตำบลสมุด
- ๒๑ มิถุนายน ๒๕๕๑ คณะกรรมการลูกโลกสีเขียว ( ปตท.) เยี่ยนเยีนชุมชนป่าชุมชนกำไสจาน จัดการต้อนรับคระกรรมการที่ป่าคีรีวงคต
- ๒๖ - ๒๗ มิถุนายน ๒๕๕๑ อบต.ทุ่งมน จะจัดโครงการเด็กรักษ์ป่ากำไสจาน จำนวน ๒๐๐ คน
กรกฎาคม ๒๕๕๑
จัดตั้งสภาองค์กรชุมชนตำบล
- ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๕๑ ประชุมคณะทำงานเตรียมความพร้อมการจัดประชุมจัดตั้งสภาองค์กรชุมชนตำบล
- ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๕๑ จัดประชุมจัดตั้งสภาองค์กรชุมชนตำบลทุ่งมน ณ วัดสะเดารัตนาราม
“สภาองค์กรชุมชนตำบลทุ่งมน” อำเภอ ปราสาท จังหวัด สุรินทร์ ที่ตั้ง/ที่ติดต่อ เลขที่ ๑ หมู่บ้าน แสรโอ หมู่ที่ ๑๐ ตำบลทุ่งมน อำเภอ ปราสาท จังหวัดสุรินทร์ รหัสไปรษณีย์ ๓๒๑๔๐
- สภาองค์กรชุมชนตำบลทุ่งมน จดจัดตั้งเมื่อ วันที่ ๒๕ เดือน กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๑
ภารกิจ/กิจกรรมที่สภาองค์กรชุมชนตำบลทุ่งมน จะดำเนินการต่อไป ๑) ประชุมสร้างความเข้าใจ สร้างทักษะ การทำงานในรูปแบบสภาองค์กรชุมชนตำบล ๒) สัมมนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ พัฒนา ปรับปรุง วัฒนธรรม ประเพณีชุมชน ๓) อนุรักษ์ ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ลุ่มน้ำชี และ ป่าชุมชนกำไสจาน ๔) เกษตรอินทรีย์
ศักยภาพพื้นที่ตำบล ด้านภาคประชาชน • มีกลุ่มป่าชุมชนกำไสจาน เริ่ม ปี ๒๕๔๔ • มีกลุ่มวิทยุชุมชน เริ่ม ปี ๒๕๔๖ • มีสมาคมบ้านวัดโรงเรียนน่าอยู่ ตั้ง ๒๕๔๘ • มีกองทุนสวัสดิการชุมชนตำบล ซึ่งจัดตั้งเมื่อวันที่ ๑ กันยายน ๒๕๔๙ • มีสภาเด็กและเยาวชนตำบล จัดตั้ง กันยายน ๒๕๕๐ • มีพระสงฆ์เป็นแกนนำในชุมชน สถานการณ์ตำบลทุ่งมน ปี ๒๕๕๑ ๑. ภัยแล้ง/ฝนทิ้งช่วง ๒. ชุมชนมีการเรียนรู้ร่วมกันมากขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี ๒๕๔๔ ๓. กองทุนสวัสดิการชุมชนตำบลเป็นแกนหลักในการสร้างกระบวนการเรียนรู้ร่วมกัน ๔. มีการรณรงค์โครงการวัดปลอดสุราและงานศพปลอดเหล้า ๕. มีสภาเด็กและเยาวชนช่วยทำงานในพื้นที่ ๖. มีโครงการฟื้นฟูและอนุรักษ์ลำน้ำห้วยชี (ตอนกลาง) ในพื้นที่ ๗. การเมืองนิ่ง ลดความขัดแย้งได้มากกว่าเดิม ๘. กำนันเป็นแกนนำภาคประชาชนได้
บันทึกการประชุมตามโครงการเสริมกระบวนการเรียนรู้เพื่อคนสุรินทร์งดดื่มสุราและวัดเขตปลอดสุราเฉลิมราชย์ จังหวัดสุรินทร์ ระยะที่ 3 พื้นที่ตำบลทุ่งมน
วันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๕๑ ณ วัดสะเดารัตนาราม
เริ่มประชุม เวลา ๐๙.๐๐ น.
มีผู้เข้าประชุม จำนวน ๒๑ คน/รูป
เรื่องที่ ๑ ผู้ประสานงานโครงการลงเยี่ยมพื้นที่ เล่าความเป็นมา
คุณกัญญานันท์ ตาทิพย์ เล่าความเป็นมาของโครงการ มีเนื้อความว่า
“ พื้นที่ตำบลทุ่งมน เป็น พื้นที่ ๒๐ ตำบลแรกที่ขับเคลื่อนเรื่องวัดเป็นเขตปลอดสุรา จึงเป็นตำบลเดิมที่ช่วยชี้เป้าตำบลขยายอีก ๒ ตำบล คือ ตำบลสมุดและตำบลปราสาททนง โครงการนี้ได้งบประมาณสนับสนุนจาก สสส. โดยผ่าน สคล. สคล.หรือเครือข่ายองค์กรงดเหล้า เป็นองค์กรที่รณรงค์เรื่องเหล้าโดยเฉพาะ ทางหน่วยงานทั้งสองต้องการคนไทยสุขภาพี แข็งแรง โครงการวัดปลอดเหล้าแรกทีเริ่มที่จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งใช้กระบวนการสั่งการตามระบบการปกครองทั้งฝ่ายราชการและคณะสงฆ์ ต่อมาก็ขยายมาที่จังหวัดสุรินทร์ แต่ใช้กระบวนการเรียนรู้เป็นคู่ขนาน เป็นจังหวัดเปรียบเทียบกันระหว่างการสั่งการและการมีส่วนร่วม ที่สุรินทร์ก็มีสถาบันการจัดการทางสังคมเป็นกองเลขางานนี้ เริ่มงานแรก ๆ ก็มีตำบลทุ่งมนเราเป็นพื้นที่แรก ๆ ในกลุ่ม ๒๐ ตำบล โครงการนี้ไม่ต้องการแยกกันระหว่างคนดื่มกับคนไม่ดื่มแต่อย่างใด แต่ต้องการคนดื่มมาเรียนรู้มาทำงานกับคนไม่ดื่ม ด้วยกลไกพื้นที่ตำบล ผ่านกระบวนการประชาคมหมู่บ้าน ตำบล แล้วมีกติกาหมู่บ้าน เอากติกาหมู่บ้านมารวมกันเป็นตำบล ปีที่แล้วก็มีการเก็บข้อมูลการบริโภคสุรา ผลออกมาว่า ตำบลทุ่งมนดื่มเหล้าปีละ ๘ ล้านบาท ๒๐ ตำบลรวมกัน ๙๖ ล้านบาทต่อปี ทั้งจังหวัดตกอยู่ที่ ๗๐๐ ล้านบาทต่อปี ข้อมูลเหล่านี้จะสร้างการฉุกคิดให้กับสังคม ปีนี้ก็จะสำรวจกัน ๘๐ ตำบล การนำข้อมูลมาพูดก็จะเกิดกลุ่มเฝ้าระวังทางสังคม อาจเกิดให้วัดเป็นศูนย์บำบัดผู้ติดสุราก็ได้ หรือจะเป็นการป้องกันนักดื่มหน้าใหม่ ถ้า อบต.จะหยิบไปใช้ก็ใช้ได้ทันที ปีนี้ก็ใช้กระบวนการเดิม เพิ่มนิดหน่อยว่า ๒๐ ตำบลเป็นพี่เลี้ยงคอยหนุนเสริมตำบลขยาย”
เรื่องที่ ๒ สถานการณ์พื้นที่ตำบลทุ่งมน
กำนันอุดม “ ผมได้เป็นกำนันรอง ๒ รอบนี้อยู่ตลอด ๖๐ ปี เคยได้เข้าร่วมเป็นคณะทำงานนี้กับ อ.นพรัตน์แล้ว อยากขยายไปงานศพปลอดเหล้า อยากได้สัก ๗๐ % คงจะดี คงต้องอาศัยการเรียนรู้ร่วมกันต่อไป”
ผช.พริ้ง “ ชุมชนมีการปฏิบัติมากขึ้น ช่วงนี้ชุมชนมีการปรับปรุงตัวอยู่ เฉพาะงานศพก็ปรับปรุงไปหลายงานแล้ว”
แม่ชียาม “ ดีใจมาก ที่มีโครงการลดเหล้านี้ ทำให้งด ลดการกินเหล้ามาก จะช่วยปรับปรุงชุมชน บอกชาวบ้านให้ลดกัน แม่ชีตอนยังไม่บวชเคยกินเหล้ามามาก”
แม่ชีไล “ สุขภาพดีขึ้น อยากให้คนอื่นทำได้ด้วย”
แม่ชีอ่อน “ เลิกได้ ๑๐๐ % แล้ว”
แม่ชีพาน “ ชาวบ้านลดตามแม่ชี ชาวบ้านพูดกันว่า หัวหน้าบวชหมดแล้ว”
สำอางค์ “ ในพื้นที่ช่วง ๒ ปีนี้ ดีขึ้นกว่าแต่ก่อน ลดการดื่ม เด็กเยาวชนเปลี่ยนพฤติกรรมการดื่ม รู้จักอายมากขึ้น”
จันทร์นภา “ ดีใจมาก ๆ ค่ะ มานั่งเวทีนี้อบอุ่นมาก สามีทุกวันนี้เริ่มไม่ทานเหล้าแล้ว แต่เดิมดื่มเหล้าก็จะเสียงานเสียการ เมา ๑ วันต้องซมอีก ๒-๓ วัน แต่ก่อนมักจะบอกจะบ่นเตือนเขา ตอนนี้ไม่บ่น เขาก็จะเลิกได้ ไปตามชุมชนไม่ดื่มเหมือนแต่ก่อน อยากให้ทุกครอบครัวลดละเลิกสุรา อย่างแม่ชีดูหน้าตาผ่องใสมาก อยากให้แม่ชีออกไปเยี่ยมเยียนชาวบ้านชวนชาวบ้านเลิก สิ่งดี ๆ จะเกิดขึ้นอีกมาก”
พุฒ “ คุยวิทยุบ่อย ๆ ทุกวันนี้รู้สึกว่าจะลดการดื่มข้างถนนแล้ว ไม่ต้องเก็บขวดเหมือนเก่า”
อนงค์ “ ช่วยดีใจกับผู้ที่สามารถเลิกเหล้าได้”
อ.นพรัตน์ “ คนดื่มสุรายังมีอยู่ แต่ลดลง ด้วย ๑. ไม่มีจะกิน เพราะเศรษฐกิจไม่ดี ชุมชนเราแล้ง ทำให้ลด งานศพก็ลดเหล้าไม่มากเหมือนแต่ก่อน ต้นแบบที่ดีคือตัวอย่างที่ดี ผู้นำลดจะนำผู้อื่นได้ง่าย อยากจะให้ผู้นำทำเป็นตัวอย่าง ผมไม่กินเหล้าในงานศพ เข้าพรรษานี้ก็หยุดก่อน ”
พ.อำนาจ “ ก็ดี ถ้าเด็ดขาดยังไม่ได้ งานบุญในชุมชนคนลดเหล้ามากขึ้น งานก็ดูเรียบร้อยกว่าเดิม”
พ.ไก่ “ งานศพทุกวันนี้ลดได้มากพอควร แต่ยังไม่ ๑๐๐ % ยังแอบ หลบ ซ่อนบ้าง บางตาลง”
พ.เป็ด “ ดีใจมาก ยังมีอยู่บ้างสำหรับคนหัวโจ๊ก ลดแล้วหลายคน อยากให้หมดจากหมู่บ้านเหมือนกัน”
พ.หลง “ โครงการนี้ก็ดี แต่ชุมชนยังไม่ทำถึงนั้น ดีขึ้นเรื่อย ๆ”
พ.ชาติ “ ภูมิใจที่ได้บวช ถ้าไม่ได้บวชคงจะเมากลิ้ง นอนข้างถนน”
พ.แปก “ มีโครงการนี้มา ลดคนกินเหล้าลง มีบ้างจะหลบป่ากล้วย ของแพงด้วย เหล้าก็แพง”
แนวทาง
• ผู้นำ อบต. /ครู / กำนัน/ ผญบ./ ทำตัวเป็นตัวอย่าง
• อยากกำหนดให้งานศพในชุมชนปลอดเหล้า ๑๐๐ % โดย เจ้าภาพสมัครใจ
• เชิญชวนลด ละ เลิก ตามวาระสำคัญ เช่น เข้าพรรษา “งดเหล้าเข้าพรรษา”
• หาแนวร่วมเพิ่มเรื่อย ๆ
เรื่องที่ ๓ วางแผนการทำงาน
ช่วยกันดูแผนงานเก่า ยกระดับให้เป็นผลงานของสภาองค์กรชุมชนตำบลทุ่งมนด้วย และมีการปรับงบประมาณ
เรื่องที่ ๔ นัดทำงาน
๑๗ สิงหาคม ๒๕๕๑ ประชุมร่วม ๓ ตำบล ณ พื้นที่ตำบลสมุด สถานที่จะประสานกับ อ.พิพัฒน์ก่อน
คุณกัญญานันท์ ตาทิพย์ ประสานงานกับคุณวริศราลี แก้วปลั่ง เพื่อขอเสื้อ ๑๐๐ ตัว สนับสนุนชมรมคนบวชใจตำบลทุ่งมน
เรื่องที่ ๕ มอบทุนเพื่อการดำเนินงาน
มอบทุนทรัพย์ ๘,๐๐๐ บาทไว้ดำเนินการ พร้อมได้เคลียร์บัญชีรับเงินแล้ว แต่งานเก็บข้อมูล และการหนุนเสริมตำบลขยายต้องทำบัญชีรับเงินซ้ำอีกที ส่วนการประชุมครั้งนี้และประชุมสรุปผลงานต้องมีบัญชีลายมือชื่อผู้เข้าประชุมและบันทึกการประชุมส่งด้วย
ปิดประชุม ๑๑.๓๐ น.
( พระมหาวีระ กิตฺติวณฺโณ )
บันทึกการประชุม
สิงหาคม ๒๕๕๑
วันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๕๑ แผนชุมชนตำบลทุ่งมน ครั้งที่ ๑
๑. อยากให้มีการกำจัดขยะมูลฝอยอย่างเป็นระบบและสะอาดเรียบร้อย
วิธีการ แยกขยะ แห้ง เปียก ฝัง เผา รีไซเคิล
ผู้รับผิดชอบ ชุมชนทำเอง
๒. อยากให้ชุมชนปลอดไข้เลือดออก
วิธีการ กำจัดลูกน้ำ
ผู้รับผิดชอบ อสม.ร่วมกับชุมชน
๓. อยากจะส่งเสริมสุขภาพ ลดภาวะเสี่ยงต่อโรคต่าง ๆ เช่น โรคเบาหวาน ความดัน โรคอ้วน
วิธีการ ออกกำลังกาย / ลดอาหารที่มีไขมัน / ปรับวิธีการกินอาหาร
ผู้รับผิดชอบ สาธารณสุข/อสม./ชุมชน
๔. อยากให้ชุมชนลด ละ เลิก อบายมุขทุกประเภท
วิธีการ ในงานศพไม่ควรมีการเล่นการพนัน และ ดื่มเหล้า
ผู้รับผิดชอบ แกนนำชุมชน/ชุมชน
๕. อยากให้มีการส่งเสริมอาชีพตามความเหมาะสม
วิธีการ ส่งเสริมอาชีพตามความถนัดแต่ละบุคคล
ผู้รับผิดชอบ หน่วยงานเกษตรและกลุ่มสตรี
๖. ปรับสภาพจิตใจให้อยู่ในศีลธรรม
วิธีการ เชิญชวนสาธุชนเข้าวัดสวดมนต์ปฏิบัติธรรม เดือนละ 2 ครั้ง
ผู้รับผิดชอบ ฝ่ายปกครอง/คณะกรรมการหมู่บ้าน
๗. อยากให้ชุมชน ครอบครัว ยึดมั่นในเศรษฐกิจพอพียง
วิธีการ ปลูกพืชผักสวนครัว เพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย
ผู้รับผิดชอบ ชุมชนทำเอง
๘. ชุมชนมีการช่วยกันอนุรักษ์ป่าชุมชนกำไสจาน และ ดูแลสิ่งแวดล้อม
วิธีการ มีกิจกรรมปลูกป่าเพิ่ม/แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจป่า/ตั้งกฎระเบียบป่า
ผู้รับผิดชอบ อบต.และชุมชน
๙. ให้มีการสื่อสารสาธารณะสู่สุขภาวะชุมชน
วิธีการ จัดเวลาให้หน่วยงานต่าง ๆ องค์กรต่าง ๆ มาจัดรายการวิทยุ
ผู้รับผิดชอบ ศูนย์เรียนรู้วิทยุชุมชน
๑๐. มีการส่งเสริมสภาพจิตใจเยาวชน
วิธีการ ให้ความสำคัญ-ให้บทบาทแก่เยาวชนในการพัฒนาชุมชน
ผู้รับผิดชอบ อบต./แกนนำชุมชน
สิงหาคม ๒๕๕๑
- ๙ สิงหาคม ๒๕๕๑ จัดประชุมทำความเข้าใจสภาองค์กรชุมชน และโครงการวัดเขตปลอดสุรา ให้กับพื้นที่ ๓ ตำบล ณ วัดสะเดารัตนาราม
- ๑๐ สิงหาคม ๒๕๕๑ จัดประชุมทำความเข้าใจและเตรียมความพร้อมโครงการฟื้นฟูและอนุรักษ์ลำน้ำห้วยชี( ตอนกลาง ) และรณรงค์ชมรมคนบวชใจ ลดละเลิกเหล้าเข้าพรรษา ณ วัดสะเดารัตนาราม
- ๑๘ สิงหาคม ๒๕๕๑ ประชุมในระดับจังหวัด ของสภาองค์กรชุมชนตำบล ๑๓ ตำบล ณ กศน.สุรินทร์ พระมหาวีระ กิตฺติวณฺโณ ได้รับการเสนอชื่อเป็นสมาชิกผู้ทรงคุณวุฒิระดับจังหวัด
- ๒๕ สิงหาคม ๒๕๕๑ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) โดย เครือข่ายองค์กรงดเหล้า สนับสนุนกิจกรรมพื้นที่ เรื่อง แซนโฎนตาปลอดเหล้า จำนวน ๑๕,๐๐๐ บาท
- ๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๑ จัดตั้งหน่วยอบรมประชาชนประจำตำบลทุ่งมน
- 28 ส.ค.2551 จัดประชุมเตรียมความพร้อมนักวิจัยแซนโฎนตาปลอดเหล้า พื้นที่ตำบลทุ่งมน ( ๔ หมู่บ้าน คือ ม.๑,๓,๖ และ หมู่ ๙ ) วันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๑ ณ วัดสะเดารัตนาราม ตำบลทุ่งมน
เวลา ๑๔.๐๐ – ๑๕.๓๐ น. ผู้เข้าประชุม ๑๒ คน ๑. เรื่อง ภารกิจสภาองค์กรชุมชนตำบล ข้อที่ ๑ คือ ส่งเสริมและสนับสนุนให้สมาชิกองค์กรชุมชน อนุรักษ์หรือฟื้นฟูจารีตประเพณี ภูมิปัญญา ศิลปหรือวัฒนธรรมอันดีของชุมชนและของชาติ ซึ่งสอดคล้องกับโครงการวิจัยชุมชนเรื่องประเพณีแซนโฎนตาปลอดเหล้าในขณะนี้ และไม่ว่าจะมีกิจกรรมอะไรที่ลงสู่ตำบลทุ่งมนที่มีวัดสะเดารัตนารามเป็นกลไก ก็จะนำมาเสริมกระบวนการให้สภาองค์กรชุมชนตำบลทุ่งมนอย่างต่อเนื่องเพื่อความเข้มแข็งต่อไป ๒. เรื่อง โครงการวิจัยชุมชน เรื่องแซนโฎนตาปลอดเหล้า ได้รับทุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ( สสส.) โดยผ่าน สำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า(สคล.) ลงสู่พื้นที่สุรินทร์ มีศูนย์ทับทิมนิมิต อ.กาบเชิง เป็นกลไกประสาน ๔ พื้นที่เดิม คือ ทุ่งมน ตาเบา คูตัน และตระแสง มีงบประมาณทำกิจกรรมวิจัยในแต่ละพื้นที่ ๆ ละ ๑๕,๐๐๐ บาท ในที่สุดก็จะมีการพิมพ์เป็นหนังสือเล่มโดย สคล. อย่างน้อย ๑,๐๐๐ เล่ม ๓. แนวทางการดำเนินกิจกรรมวิจัยแซนโฎนตาในตำบลทุ่งมน - ขั้นตอนและงบประมาณ ๑. เตรียมทีมงานวิจัย 12 คน x 50 บาท = 600 บาท ๒. ลงปฏิบัติงานวิจัยในพื้นที่ 8 คน x 300 บาท = 2,400 บาท ค่าใช้สอยเวทีย่อย = 800 บาท ๓. เวทีแลกเปลี่ยนทีมวิจัย 14 คน x 50 บาท = 700 บาท ๔. เก็บข้อมูลเพิ่มเติม 8 คน x 100 บาท = 800 บาท ๕. เวทีส่งเสริมวิทยากรภูมิปัญญาชุมชน 15 คน x 200 บาท = 3,000 บาท 10 คน x 50 บาท = 500 บาท ๖. เวทีคืนข้อมูลชุมชน 50 คน x 100 บาท = 5,000 บาท ๗. บริหารจัดการเอกสารและประสาน 1,200 บาท รวม 15,000 บาท
- กิจกรรมที่ ๒ – ๕ ดำเนินงาน ระหว่าง วันที่ ๑ -๒๐ กันยายน ๒๕๕๑
- คณะวิจัยลงพื้นที่ ๘ คน คือ ๑. ลิน จุฬา ๒. ลินหาที่บ้านพลับ ๓. เสนีย์ หวังทางมี ๔. กัลยา เที่ยงแล้ว ๕.จันทร์นภา ทองเจริญ ๖. ลิน เงินเก่า ๗. สำอางค์ สายสู่ ๘. จินดา สายสู่ การไปสัมภาษณ์เก็บข้อมูล ไปเป็นทีม อย่างน้อย ๒ คน ไม่เกิน ๓ คน - กลุ่มเป้าหมายที่จะขอเก็บข้อมูล กำหนด ๔ หมู่บ้าน กลุ่มคน ๓ วัย เช่น ม.๑ วัยผู้สูงอายุ ๑. นางเย็น สมใจเรา ๒.นางไล ชาวเมืองดี วัยกลางคน ๑. นางสาวเสียบ ๒. นางปิง วัยเยาวชน ๑. ท็อฟฟี่ ๒. เด่น ม.๓ วัยผู้สูงอายุ ๑. นางแก้ว โยประโคน ๒.นายทอม สายสู่ วัยกลางคน ๑. นางเปลือง ทนงใจ ๒.นางเพลือ หวังสำราญ วัยเยาวชน ๑. นางประยูร สมนึกตน ๒.น .ส. เมฤดี สืบมา ม.๖ วัยผู้สูงอายุ ๑. นายเจือง ๒.นายเบย วัยกลางคน ๑. นายวิกรม ๒. นายสมศักดิ์ วัยเยาวชน ๑.เพ็ญ ๒. ดี ม.๙ วัยผู้สูงอายุ ๑. นางยาน อินัง ๒.นางเนือม บุญกระจาย วัยกลางคน ๑. น.ส.เอือก เรืองชาญ ๒. นางเยน อินัง วัยเยาวชน ๑.นายคำสิงห์ หวังสำราญ ๒. แอะ กลุ่มเป้าหมายเพิ่มเติม นายปวน สันทัยพร กำนันอุดม หวังทางมี นางบวช ยายเทย นางสอน หวังสำราญ นายโกศล แก้วรัตน์ นางสมลักษณ์ สืบสหการณ์ นางเอียบ พูนลัน นางอวด ได้ทุกทาง นางฮวย แซ่ตัง
เข้าไปหากลุ่มเป้าหมาย โดยการรวมกลุ่ม ๒ – ๕ คน ให้ถามชื่อ นามสกุล อายุ ที่อยู่ด้วย
- เรื่อง/คำถามที่จะเก็บข้อมูล ๑. ทำไมต้องแซนโฎนตา ๒. การจูนโฎนตา ทำอย่างไร ๓. บทบาทสำคัญของการแซนโฎนตาอยู่ที่ใครในครอบครัว ๔. ทำไมจึงใช้เหล้าแซนโฎนตา ๕. สิ่งที่จะใช้แทนเหล้ามีหรือไม่ คืออะไรได้บ้าง ๖. ถ้าไม่ใช้เหล้าแซนโฎนตาจะมีโทษอย่างไร ๗. เหล้าเกี่ยวข้องกับอะไรมากว่ากัน ระหว่างพิธีกรรมแซนโฎนตากับคนแซนโฎนตา ๘. ทำไมต้องแซนโฎนตาปลอดเหล้า ๙. ทำไมต้องไปเทกระเฌอโฎนตาที่วัด และ ทำไมบางบ้านเทที่บ้านตนเอง ๑๐. การเทกระเชอโฎนตา ทำไมต้องเทช่วง ตี ๔ – ๕ ซึ่งยังมืดอยู่ ๑๑. การแซนโฎนตา บทบาทสำคัญอยู่ที่ใคร ระหว่างครอบครัว ชุมชน หรือ วัด
ต่อจากนั้นจึงมีการเก็บข้อมูลการทำวิจัย เรื่อง แซนโฎนตาปลอดเหล้า
แบบสอบถามข้อมูลการทำวิจัย เรื่อง แซนโฎนตาปลอดเหล้า ประวัติผู้ให้ข้อมูล ชื่อ นายทอม สายสู่ อายุ ๗๔ ปี อาชีพ ทำนา บ้านเลขที่ ๑๓/๖ หมู่ ๓ บ้านตาเจียด ตำบลทุ่งมน อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ ๓๒๑๔๐
๑. เพราะเหตุใด จึงต้องแซนโฎนตา
ไม่รู้สาเหตุ เพราะตั้งแต่เกิดมา ก็เห็นปู่ย่าตายายพ่อแม่พากันแซนตามกันมาจนถึงปัจจุบันนี้ ในช่วงวันเบ็ณทมของทุกปี
๒. ทำไมจึงต้องใช้เหล้าในการแซนโฎนตา เพราะคนสมัยก่อนมีการกินเหล้า พอตายไปญาติพี่น้องรุ่นหลังก็ต้องแซนเหล้าส่งไปให้กิน เพราะเป็นความเชื่อที่ว่า เมื่อแซนอะไรให้คนที่ตายจะได้รับสิ่งนั้น ๓. ทำไมต้องจูนพ่อแม่ เพื่อที่จะได้นำสิ่งของที่ลูกหลานจูนให้มาใส่กระเชอโฎนตา ส่งไปให้คนที่ตายไปแล้ว ๔. ทำไมจึงต้องนำของเซ่นไหว้ไปเทที่วัด เพื่อที่จะได้เอาไปทำพิธีส่งไปให้ดวงวิญญาณที่ล่วงลับไปแล้วมารับ เพราะเขาจะปล่อยให้มารับในวันเบ็ณทมในบริเวณวัด ๕. ความหมายของบายเบ็ณ คืออะไร เป็นการทำบายเบ็ณในช่วงกันส่ง ทำต่อ ๆ กันมาช้านาน จนเป็นประเพณีกันส่ง แบบสอบถามการเปลี่ยนแปลง นางจินดา สายสู่ ผู้สอบถามข้อมูล
แบบสอบถามข้อมูลการทำวิจัย เรื่อง แซนโฎนตาปลอดเหล้า ประวัติผู้ให้ข้อมูล ชื่อ นางแก้ว โย้ประโคน อายุ ๘๘ ปี อาชีพ ทำนา บ้านเลขที่ ๑๔ หมู่ ๓ บ้านตาเจียด ตำบลทุ่งมน อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ ๓๒๑๔๐ ๑. เพราะเหตุใด จึงต้องแซนโฎนตา ทำต่อ ๆ กันมาช้านานแล้วเลยต้องทำ เป็นประเพณีของชาวเขมรสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน ๒. ทำไมจึงต้องใช้เหล้าในการแซนโฎนตา คนสมัยก่อนเวลาแซนโฎนตาก็จะใช้เหล้าเทแซน พอแซนเสร็จก็จะมีพวกพวกใหญ่กินกัน ๓. ทำไมต้องจูนพ่อแม่ เพื่อที่จะนำสิ่งของที่ลูกหลานได้จูนให้มาใส่กระเชอ เพื่อจะทำการแซนส่งไปให้บรรพบุรุษ ๔. ทำไมจึงต้องนำของเซ่นไหว้ไปเทที่วัด เพื่อที่จะเอาสิ่งของที่เซ่นไหว้เสร็จแล้วมาส่งให้บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปรอรับที่วัด เลยต้องนำกระเฌอไปเทที่วัด ๕. ความหมายของบายเบ็ณ คืออะไร พอถึงเวลาทำบายเบ็ณ คือ ช่วงวันแรม เดือน ๑๐ ของทุกปี จะต้องปั้นข้าวเหนียวใส่พานโรยด้วยงาเพื่อที่จะเอาไปถวายพระที่วัด นางจินดา สายสู่ ผู้สอบถามข้อมูล
แบบสอบถามข้อมูลการทำวิจัย เรื่อง แซนโฎนตาปลอดเหล้า ประวัติผู้ให้ข้อมูล ชื่อ นางสำอางค์ สายสู่ อายุ๔๙ ปี อาชีพ ทำนา บ้านเลขที่ ๓๖ หมู่ ๑ บ้านทุ่งมน ตำบลทุ่งมน อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ ๓๒๑๔๐ ๑. เพราะเหตุใด จึงต้องแซนโฎนตา เป็นประเพณีที่ทำตามกันมาในครอบครัว ๒. ทำไมจึงต้องใช้เหล้าในการแซนโฎนตา เราได้ดื่มกิน ทำให้คิดถึงญาติผู้ที่ล่วงลับไปแล้วได้ด้วย ๓. ทำไมต้องจูนพ่อแม่ ในฤดูนี้เป็นฤดูฝนอาหารมากมายในน้ำบนบก จึงเป็นการพบปะญาติพร้อมพ่อแม่ ๔. ทำไมจึงต้องนำของเซ่นไหว้ไปเทที่วัด เป็นการรำลึกถึงผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ๕. ความหมายของบายเบ็ณ คืออะไร เป็นพิธียกระดับข้าวด้วยการตกแต่งให้เป็นอาหารที่มีคุณค่า
นางสำอางค์ สายสู่ ผู้สอบถามข้อมูล
แบบสอบถามข้อมูลการทำวิจัย เรื่อง แซนโฎนตาปลอดเหล้า ประวัติผู้ให้ข้อมูล ชื่อ นางสวัสดิ์ ล้อมนาค อายุ ๔๙ ปี อาชีพ ทำนา บ้านเลขที่ ๒๑๕ หมู่ ๓ บ้านตาเจียด ตำบลทุ่งมน อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ ๓๒๑๔๐ ๑. เพราะเหตุใด จึงต้องแซนโฎนตา ปู่ย่าตายาย พ่อ แม่ทำตามกันมา ๒. ทำไมจึงต้องใช้เหล้าในการแซนโฎนตา ทำตามกันมา ๓. ทำไมต้องจูนพ่อแม่ ทำตามประเพณีสืบทอดกันมา ๔. ทำไมจึงต้องนำของเซ่นไหว้ไปเทที่วัด จูนผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ตามประเพณี ๕. ความหมายของบายเบ็ณ คืออะไร ตามกันมา เป็นประเพณี นางสำอางค์ สายสู่ ผู้สอบถามข้อมูล
แบบสอบถามข้อมูลการทำวิจัย เรื่อง แซนโฎนตาปลอดเหล้า ประวัติผู้ให้ข้อมูล ชื่อ นางเอียบ พูนลัน อายุ๕๔ ปี อาชีพ ทำนา บ้านเลขที่๖๒ หมู่ ๑ บ้านทุ่งมน ตำบลทุ่งมน อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ ๓๒๑๔๐ ๑. เพราะเหตุใด จึงต้องแซนโฎนตา เป็นประเพณีที่ทำมา ตาม ๆ กัน ของบรรพบุรุษ ๒. ทำไมจึงต้องใช้เหล้าในการแซนโฎนตา หาเวลาสังสรรค์กันในหมู่ญาติและเพื่อนบ้านในเวลาแซนโฎนตา ๓. ทำไมต้องจูนพ่อแม่ ทำตามประเพณีที่ปูย่าตาทวดเคยทำ เคยแนะนำสั่งสอนให้ลูกหลานรู้จักบุญคุณของพ่อแม่ที่เลี้ยงเรามา ทำกันปีละครั้ง ๔. ทำไมจึงต้องนำของเซ่นไหว้ไปเทที่วัด เป็นการรำลึกนึกถึงผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว และเปรตอสุรกาย ให้ได้รับสิ่งของเหล่านี้ด้วย เมื่อเราได้ดื่มกินด้วยเช่นกัน
๕. ความหมายของบายเบ็ณ คืออะไร -----
แบบสอบถามข้อมูลการทำวิจัย เรื่อง แซนโฎนตาปลอดเหล้า ประวัติผู้ให้ข้อมูล ชื่อ นางสาวเอือก เรืองชาญ ๓๓๒๐๕๐๑๐๘๑๕๔๔ อายุ ๖๐ ปี อาชีพ ทำนา บ้านเลขที่ ๗ หมู่ ๙ บ้านหนองโบสถ์ ตำบลทุ่งมน อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ ๓๒๑๔๐ ๑. เพราะเหตุใด จึงต้องแซนโฎนตา ทำตามบรรพบุรุษ ซึ่งทำมาตั้งแต่สมัยแต่ก่อน ๒. ทำไมจึงต้องใช้เหล้าในการแซนโฎนตา จำเป็นต้องใช้ นานทีปีหน แต่สามารถหาน้ำอื่นมาทดแทนได้ เช่น น้ำมะพร้าว ๓. ทำไมต้องจูนพ่อแม่ เป็นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเครือญาติ แสดงความกตัญญูต่อปู่ย่าตายาย และบรรพบุรุษที่ได้เสียชีวิตมานานแล้ว ๔. ทำไมจึงต้องนำของเซ่นไหว้ไปเทที่วัด เป็นการเสี่ยงทาย ว่า ถ้าใครแย่งได้เยอะ ผลเสี่ยงทายก็คือ บุคคลผู้นั้นก็ทำมาค้าขึ้น ประสบความสำเร็จในชีวิต ของเซ่นที่นำไปเทก็จะมีพวกเมล็ดธัญพืช ล้วนแต่เป็นพืชสิริมงคลแก่ครอบครัว ๕. ความหมายของบายเบ็ณ คืออะไร เป็นข้าวบริสุทธิ์ที่นำไปถวายพระ พระจะทำพิธีสวดเสร็จพระก็ฉัน ส่วนที่เหลือก็จะนำกลับมาบ้าน และบางส่วนจะนำมารับประทาน บางส่วนจะเก็บไว้ เพื่อเกิดสิริมงคล บางคนก็นำไปหว่านที่นาข้าว เพื่อเกิดสิริมงคล อีกบางส่วนจะนำไปไว้ที่กำแพงวัดให้สัมปเวสี ผีเปรต
แบบสอบถามข้อมูลการทำวิจัย เรื่อง แซนโฎนตาปลอดเหล้า ประวัติผู้ให้ข้อมูล ชื่อ นางเยน อินัง อายุ ๕๓ ปี อาชีพ ทำนา บ้านเลขที่ ๒๔๗ หมู่ ๙ บ้านหนองโบสถ์ ตำบลทุ่งมน อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ ๓๒๑๔๐ ๑. เพราะเหตุใด จึงต้องแซนโฎนตา เพราะทำตามบรรพบุรุษ สืบต่อกันมายาวนาน ๒. ทำไมจึงต้องใช้เหล้าในการแซนโฎนตา จำเป็นต้องใช้สุรา เพราะใน ๑ ปี มีการแซนโฎนตา ๑ ครั้ง (สามารถใช้น้ำอื่นได้ ) ๓. ทำไมต้องจูนพ่อแม่ เป็นการแสดงความรำลึกนึกถึง เพื่อแสดงความกตัญญูต่อปู่ย่าตายาย และบรรพบุรุษที่ได้เสียชีวิตมานานแล้ว ๔. ทำไมจึงต้องนำของเซ่นไหว้ไปเทที่วัด เป็นการเสี่ยงทาย ว่า ถ้าลูกหลานคนใดแย่งกันเอาของที่เทได้มาเท่าใด จะเปรียบเหมือนว่า ลูกหลานคนนั้นจะทำมาหากินเก่ง หรือ เราแย่งได้ขิง ข่า ตะไคร้แล้วเอามาปลูกก็เหมือนกับว่า ปู่ย่าให้พรเราได้มั่งมีศรีสุข ๕. ความหมายของบายเบ็ณ คืออะไร เป็นข้าวบริสุทธิ์ที่นำไปถวายพระ เมื่อพระทำพิธีสวดเสร็จพระก็ฉัน ส่วนที่เหลือก็จะนำไปแจกจ่ายกันทานที่บ้าน แต่ถ้าเป็นเมื่อก่อนจะนำไปโรยที่นา ให้มันงอกงาม ส่วนบายเบ็ณที่ไว้ตามกำแพง เพื่อให้ผีตายโหงเอาไป เพราะผีตายโหงจะไม่กล้าเข้าวัด เพราะเขาจะไม่ใกล้กันเพราะถือว่าไม่ดี เหมือนเรา แซนโฎนตาบนบ้าน ผีตายโหงจะไม่กล้าขึ้นรับส่วนบุญบนบ้าน ถึงเป็นญาติก็ตาม วิญญาณปู่ญาติ ปู่ย่าตายายจะไม่ให้ขึ้นมา พอเราเอาลงไปเทด้านล่างผีตายโหงถึงจะกล้าเอาหรือรับไป
แบบสอบถามข้อมูลการทำวิจัย เรื่อง แซนโฎนตาปลอดเหล้า ประวัติผู้ให้ข้อมูล ชื่อ นางสาวสิรพร อินัง อายุ ๑๘ ปี อาชีพ นักเรียน บ้านเลขที่ ๑๘๙ หมู่ ๙ บ้านหนองโบสถ์ ตำบลทุ่งมน อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ ๓๒๑๔๐ ๑. เพราะเหตุใด จึงต้องแซนโฎนตา เพราะเป็นการทำพิธีเพื่อให้ปู่ ย่า ตา ยาย มารับผลบุญที่เราได้ทำให้ท่านด้วยความกตัญญู ๒. ทำไมจึงต้องใช้เหล้าในการแซนโฎนตา เพราะบรรพบุรุษในสมัยก่อนชอบกินเหล้า เลยต้องใช้เหล้าในการทำพิธีและอาจเพราะเชื่อว่าท่านจะได้รับ ๓. ทำไมต้องจูนพ่อแม่
๔. ทำไมจึงต้องนำของเซ่นไหว้ไปเทที่วัด เพราะเรานำของที่เซ่นไหว้ไปที่วัดในทุก ๆ เช้ามืด และเมื่อพระสวดมนต์แล้วเราก็นำไปเทที่วัดรวมกัน ตามคนโบราณบอกให้ทำ ๕. ความหมายของบายเบ็ณ คืออะไร เป็นข้าวเหนียวที่นึ่งแล้วนำมาปั้นเป็นกลม ๆ แล้วโรยงา แล้วนำไปถวายพระที่วัด พอพระสวดรับแล้วก็ฉัน แล้วเราก็นำมาแบ่งกันทาน
แบบสอบถามข้อมูลการทำวิจัย เรื่อง แซนโฎนตาปลอดเหล้า
ประวัติผู้ให้ข้อมูล
ชื่อ นางสาวศศพร กันอยู่ ๑๘๓๐๒๐๐๐๓๕๑๒๗ อายุ ๑๗ ปี อาชีพ นักเรียน บ้านเลขที่ ๗ หมู่ ๙ บ้านหนองโบสถ์ ตำบลทุ่งมน อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ ๓๒๑๔๐
๑. เพราะเหตุใด จึงต้องแซนโฎนตา
เป็นการแสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปนานแล้ว และเป็นการทำบุญให้แก่ ปู่ ย่า ตา ยาย ที่ล่วงลับไปนานแล้ว
๒. ทำไมจึงต้องใช้เหล้าในการแซนโฎนตา
เพราะทำตามกันในการประกอบพิธีกรรมในสมัยแต่ก่อนไม่มีการบอกเหตุผล
๓. ทำไมต้องจูนพ่อแม่
เพื่อเป็นการแสดงความกตัญญู และเป็นการแสดงความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัว อีกอย่างก็คือเป็นการขอขมาลาโทษผู้หลักผู้ใหญ่ที่เคยล่วงเกิน และอภัยโทษแก่กัน
๔. ทำไมจึงต้องนำของเซ่นไหว้ไปเทที่วัด
เป็นการทำบุญให้ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว เป็นการที่จะเสี่ยงทายว่าบุคคลใดแย่งของได้แยะก็จะทำมาค้าขึ้น อยู่ดีกินดี หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งคือประสบความสำเร็จในชีวิต
๕. ความหมายของบายเบ็ณ คืออะไร
เป็นข้าวเหนียวบริสุทธิ์ที่นำไปถวายพระ และให้พระประกอบพิธีกรรม ส่วนหนึ่งก็จะนำไปวางตามกำแพงเพื่อให้ผีตายโหงที่เข้าวัดไม่ได้ได้รับส่วนบุญ ส่วนที่เหลือจะนำกลับบ้านมาให้บุคคลในบ้านกินเพื่อเกิดสิริมงคลแก่ตนเอง
แบบสอบถามข้อมูลการทำวิจัย เรื่อง แซนโฎนตาปลอดเหล้า
ประวัติผู้ให้ข้อมูล
ชื่อ นายวิกรม บุติมาลย์ นายเบย คงชูศรี น.ส.เพ็ญ เถลิงผล นายเดโช บุติมาลย์ หมู่ ๖ บ้านหนองโบสถ์ ตำบลทุ่งมน อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ ๓๒๑๔๐
๑. เพราะเหตุใด จึงต้องแซนโฎนตา
- เพื่อรำลึกถึงบรรพบุรุษที่ล่วงลับ
- เป็นการสืบทอดประเพณีจากปู่ย่าตายาย
๒. ทำไมต้องจูนของไหว้พ่อแม่ - เพื่อเป็นการรำลึกพระคุณแม่พ่อ - เพื่อสนองคุณ ปู่ย่า ตายาย ๓. ทำไมจึงต้องใช้เหล้าในการแซนโฎนตา - เป็นพิธีกรรมที่เคยปฏิบัติมาตั้งแต่ดั้งเดิม - เพื่อผีบรรพบุรุษที่เคยกิน ๔. ใช้น้ำแทนได้ไหม - เพราะอะไร - ใช้น้ำแทนไม่ได้ เพราะเป็นประเพณีที่เคยปฏิบัติมา ๔. ทำไมต้องใส่ของในกระเชอไปเทที่วัด ( ตี ๔ – ๕) - เปรียบเสมือนใส่ของฝาก ส่งให้แก่บรรพบุรุษ เพื่อกิน เพื่อปลูก - เป็นแหล่งศูนย์รวมการทำบุญ และแลกเปลี่ยนพันธุ์พืช การเทกระเชอจะเทที่สายน้ำก็ได้ เพื่อจะได้ขยายพันธุ์พืชในที่ต่าง ๆ และในช่วงตี ๔ ตี ๕ จะเป็นวันสุดท้ายของผีบรรพบุรุษที่จะต้องส่งกลับคืน ๕. ความหมายของบายเบ็ณ คืออะไร
นายลิน จุฬา ผู้สอบถามข้อมูล/ชวนคุย
แบบสอบถามข้อมูลการทำวิจัย เรื่อง แซนโฎนตาปลอดเหล้า
ประวัติผู้ให้ข้อมูล
ชื่อ นางเชือ ศรียำ อายุ ๖๐ ปี อาชีพ ทำนา บ้านเลขที่ ๓๒๕ หมู่ ๑ บ้านทุ่งมน ตำบลทุ่งมน อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ ๓๒๑๔๐
๑. ทำไมต้องแซนโฎนตา
ทำตามตกทอดกันมาตั้งแต่ ปู่ ย่า ตา ยาย แล้ว
๒. การจูนโฎนตาทำอย่างไร
เอาของใส่กระเชอแล้วเอาไปจูนพ่อแม่
๓. บทบาทสำคัญของการแซนโฎนตาอยู่ที่ใคร
อยู่กับพ่อ แม่ เป็นแบบอย่าง
๔. ทำไมถึงใช้เหล้าแซนโฎนตา
ก็ตอนที่แกยังมีชีวิตอยู่ แกเคยดื่มเหล้า พอถึงเวลาแซนโฎนพวกเราก็ระลึกถึงท่านอยู่เสมอ
๕. สิ่งที่จะใช้ทดแทนเหล้ามีหรือไม่
มี น้ำขวด น้ำเปล่า น้ำมะพร้าว
๖. ถ้าไม่ใช้เหล้าแซนโฎนตาจะมีโทษอย่างไร
ไม่มีโทษหรอก เพียงแต่เคยใช้มาก่อน
๗. เหล้าเกี่ยวข้องกับอะไรมากว่ากัน ระหว่างพิธีกรรมแซนโฎนตา กับ คนแซนโฎนตา
เกี่ยวข้องกับคนมากกว่า เพราะระหว่างพิธีกรรมใช้รดน้ำเหล้านิดเดียวเอง
๘. ทำต้องแซนโฎนตาปลอดเหล้า
เพราะมีโครงการปลอดเหล้า ก็เลยอยากสนองนโยบาย
๙. ทำไมต้องเทกระเฌอที่วัด
เพราะว่า ปู่ ย่า ตายาย ไปรอรับส่วนบุญอยู่ที่วัด
๑๐. ทำไมบางบ้านเทกระเฌอที่บ้าน
กลัว ปู่ย่าตายาย ไปที่วัดไม่เจอ เผื่อท่านจะกลับมาหาที่บ้านคืน
๑๑. การเทกระเฌอโฎนตา ทำไมต้องเทช่วง ตี ๔ ตี๕ ซึ่งมืดอยู่
ช่วงตี๔ ตี ๕ เป็นช่วงที่เขาปล่อยให้มารับส่วนบุญ ส่วนกุศล
๑๒. การแซนโฎนตาบาทบาท อยู่ที่ใคร ระหว่าง ชุมชน ครอบครัว วัด
อยู่ที่ครอบรัว
เสนีย์ หวังทางมี และ กัลยา เที่ยงแล้ว เก็บข้อมูล
แบบสอบถามข้อมูลการทำวิจัย เรื่อง แซนโฎนตาปลอดเหล้า
ประวัติผู้ให้ข้อมูล
ชื่อ นางลัย ชาวเมืองดี อายุ ๘๓ ปี อาชีพ ทำนา บ้านเลขที่ ๑๐๕ หมู่ ๑ บ้านทุ่งมน ตำบลทุ่งมน อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ ๓๒๑๔๐
๑. ทำไมต้องแซนโฎนตา
พ่อ แม่บอกไว้ถึงเวลาปีละ ๑ ครั้ง ต้องแซนโฎนตา
๒. การจูนโฎนตาทำอย่างไร
จัดของทุก ๆ อย่าง ทั้งข้าวจ้าว ทั้งข้าวเหนียว ของใช้ทุก ๆ อย่างใส่ในกระเฌอ
๓. บทบาทสำคัญของการแซนโฎนตาอยู่ที่ใคร
อยู่กับเจ้าของบ้านและครอบครัว
๔. ทำไมถึงใช้เหล้าแซนโฎนตา
เห็นพ่อแม่ใช้มาตั้งแต่สมัยปู่ ย่า ตา ยายแล้ว
๕. สิ่งที่จะใช้ทดแทนเหล้ามีหรือไม่
น้ำขวด น้ำเปล่า แต่ไม่มีน้ำมะพร้าวเลย
๖. ถ้าไม่ใช้เหล้าแซนโฎนตาจะมีโทษอย่างไร
คาดว่าน่าจะมีนะ เพราะเคยใช้มาตลอด
๗. เหล้าเกี่ยวข้องกับอะไรมากว่ากัน ระหว่างพิธีกรรมแซนโฎนตา กับ คนแซนโฎนตา
เกี่ยวข้องกับพิธีกรรมมากกว่า
๘. ทำต้องแซนโฎนตาปลอดเหล้า
เป็นเพราะเขางดเหล้ามัง
๙. ทำไมบางเทกระเฌอที่วัด บางบ้านเทกระเฌอที่บ้าน
เป็นคนที่เทที่บ้านตัวเองมาตลอด ช่วงเวลาพระสวดมนต์ที่วัด เราก็เทกระเฌอที่บ้านพร้อมกับที่วัด
๑๐. การเทกระเฌอโฎนตา ทำไมต้องเทช่วง ตี ๔ ตี๕ ซึ่งมืดอยู่
ไม่เคยถามปู่ ย่า ตายายว่าเพราะอะไร ต้องเทช่วงตี ๔ ตี ๕ ด้วย
๑๑. การแซนโฎนตาบาทบาท อยู่ที่ใคร ระหว่าง ชุมชน ครอบครัว วัด
สำคัญที่ครอบครัว
เสนีย์ หวังทางมี และ กัลยา เที่ยงแล้ว เก็บข้อมูล
แบบสอบถามข้อมูลการทำวิจัย เรื่อง แซนโฎนตาปลอดเหล้า ประวัติผู้ให้ข้อมูล ชื่อ นางสาวเสียบ ทรงแสงจันทร์ อายุ ๕๘ ปี อาชีพ ทำนา บ้านเลขที่ ๙๑ หมู่ ๑ บ้านทุ่งมน ตำบลทุ่งมน อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ ๓๒๑๔๐ ๑. ทำไมต้องแซนโฎนตา โบราณสมัยปู่ย่าตายาย เขาทำ เราก็เลยสืบทอดเจตนารมณ์ต่อ ๒. การจูนโฎนตาทำอย่างไร มีผลไม้ มีข้าวของทุกสิ่งทุกอย่างเอามารวมใส่กันแล้วก็มีตรวย ๕ ดอกด้วย ๓. บทบาทสำคัญของการแซนโฎนตาอยู่ที่ใคร อยู่กับคนที่คิดจะแซนโฎนตา ๔. ทำไมถึงใช้เหล้าแซนโฎนตา สมัยก่อนปู่ย่าตายาย แกเคยดื่มมาก่อน เลยต้องใช้นิด ๆ หน่อย ๆ ตามระเบียบ ๕. สิ่งที่จะใช้ทดแทนเหล้ามีหรือไม่ มี น้ำขวด น้ำเปล่า น้ำมะพร้าว ๖. ถ้าไม่ใช้เหล้าแซนโฎนตาจะมีโทษอย่างไร ไม่มีหรอก แต่ก็ไม่รู้ ๗. เหล้าเกี่ยวข้องกับอะไรมากว่ากัน ระหว่างพิธีกรรมแซนโฎนตา กับ คนแซนโฎนตา เกี่ยวข้องกับพิธีกรรมมากกว่า ๘. ทำต้องแซนโฎนตาปลอดเหล้า ไม่รู้ว่าปลอดเหล้า เพราะว่าใช้มาตลอด ๙. ทำไมบางเทกระเฌอที่วัด บางบ้านเทกระเฌอที่บ้าน ไปเทแต่ที่วัด เพราะเวลาพระสวดมนต์ พระจะให้เราเรียกปู่ ย่า ตา ยาย มารับของ ๑๐. การเทกระเฌอโฎนตา ทำไมต้องเทช่วง ตี ๔ ตี๕ ซึ่งมืดอยู่ ให้ทันเวลาที่เขาปล่อยให้ปู่ ย่า ตายายมารับของจากลูกหลาน ๑๑. การแซนโฎนตาบาทบาท อยู่ที่ใคร ระหว่าง ชุมชน ครอบครัว วัด เกี่ยวกับครอบครัวเราเอง
เสนีย์ หวังทางมี และ กัลยา เที่ยงแล้ว เก็บข้อมูล
แบบสอบถามข้อมูลการทำวิจัย เรื่อง แซนโฎนตาปลอดเหล้า ประวัติผู้ให้ข้อมูล ชื่อ นางบวช สายสู่ อายุ ๗๖ ปี อาชีพ ทำนา บ้านเลขที่ ๑๐๓/๙ หมู่ ๑ บ้านทุ่งมน ตำบลทุ่งมน อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ ๓๒๑๔๐ ๑. ทำไมต้องแซนโฎนตา เกิดมาเห็นพ่อแม่แซน ก็เลยแซนตาม ๒. การจูนโฎนตาทำอย่างไร จูนโฎนตาให้เฉพาะคนที่เสียชีวิตแล้ว ๓. บทบาทสำคัญของการแซนโฎนตาอยู่ที่ใคร อยู่กับตนเองซึ่งเป็นเจ้าของบ้าน ๔. ทำไมถึงใช้เหล้าแซนโฎนตา คยเห็นพ่อแม่ทำมา ตั้งแต่สมัยปู่ ย่า ตายาย ๕. สิ่งที่จะใช้ทดแทนเหล้ามีหรือไม่ มี น้ำขวด น้ำเปล่า น้ำมะพร้าว ๖. ถ้าไม่ใช้เหล้าแซนโฎนตาจะมีโทษอย่างไร ไม่มีโทษหรอก ๗. เหล้าเกี่ยวข้องกับอะไรมากว่ากัน ระหว่างพิธีกรรมแซนโฎนตา กับ คนแซนโฎนตา เกี่ยวกับพิธีกรรมมากกว่า ๘. ทำต้องแซนโฎนตาปลอดเหล้า ไม่ได้ปลอดเหล้า เพราะใช้เหล้ามาตลอด ( กลัวปู่ ย่า ตา ยายโกรธ) ๙. ทำไมบางเทกระเฌอที่วัด บางบ้านเทกระเฌอที่บ้าน ไม่เคยไปเทที่วัด เทแต่ที่บ้าน ถ้าไปเทที่วัด กลัวว่าจะต้องแย่งกัน สงสารก็เลยเทที่บ้าน ๑๐. การเทกระเฌอโฎนตา ทำไมต้องเทช่วง ตี ๔ ตี๕ ซึ่งมืดอยู่ ในช่วงที่เขาปล่อยให้ขึ้นมารับส่วนบุญจากลูกหลาน ๑๑. การแซนโฎนตาบาทบาท อยู่ที่ใคร ระหว่าง ชุมชน ครอบครัว วัด อยู่กับบ้าน อยู่กับตนเอง
เสนีย์ หวังทางมี และ กัลยา เที่ยงแล้ว เก็บข้อมูล
แบบสอบถามข้อมูลการทำวิจัย เรื่อง แซนโฎนตาปลอดเหล้า ประวัติผู้ให้ข้อมูล ชื่อ นางสาวพัชราพรรณ์ ดังถวิล อายุ ๑๗ ปี อาชีพ นักเรียน บ้านเลขที่ ๑๐๓/๙ หมู่ ๑ บ้านทุ่งมน ตำบลทุ่งมน อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ ๓๒๑๔๐ ๑. ทำไมต้องแซนโฎนตา เพราะเป็นประเพณี ที่มีมาตั้งแต่สมัยก่อน จึงนับถือกันมาถึงปัจจุบัน ๒. การจูนโฎนตาทำอย่างไร เอาน้ำหวาน และขนมต่าง ๆ ใส่ตระกร้าและปัจจัยเล็ก ๆ น้อยไปจูนให้ตายาย ๓. บทบาทสำคัญของการแซนโฎนตาอยู่ที่ใคร อยู่ที่ยาย เพราะยายจะรู้เกี่ยวกับการแซนโฎนตามาแต่ก่อน ๔. ทำไมถึงใช้เหล้าแซนโฎนตา เพราะการใช้เหล้านี้ มีมาตั้งแต่สมัยก่อนแล้ว เหล้าจึงสำคัญมากในการแซนโฎนตา ๕. สิ่งที่จะใช้ทดแทนเหล้ามีหรือไม่ มี คือ น้ำหวาน และของที่เป็นน้ำทุกอย่าง ๖. ถ้าไม่ใช้เหล้าแซนโฎนตาจะมีโทษอย่างไร ก็แล้วแต่ความเชื่อของบุคคล ๗. เหล้าเกี่ยวข้องกับอะไรมากว่ากัน ระหว่างพิธีกรรมแซนโฎนตา กับ คนแซนโฎนตา เกี่ยวข้องกันทั้งสอง ๘. ทำต้องแซนโฎนตาปลอดเหล้า เพราะปัจจุบันมีกฎหมายออกมาให้เลิกเหล้า ๙. ทำไมบางเทกระเฌอที่วัด บางบ้านเทกระเฌอที่บ้าน แล้วแต่ละบุคคล และแล้วแต่ครอบครัวแต่ละครอบครัว ๑๐. การเทกระเฌอโฎนตา ทำไมต้องเทช่วง ตี ๔ ตี๕ ซึ่งมืดอยู่ ไม่ทราบเหมือนกัน เพราะถ้าช่วงตี ๔ ตี ๕ จะทำให้ยายตาที่เสียไปแล้วจะได้ไม่ต้องเดินขอคนบ้านอื่น ไม่ต้องไปรบกวนที่วัด ฉะนั้นจึงต้องตื่นมาเทกระเชอช่วงตี ๔ ตี ๕ ๑๑. การแซนโฎนตาบาทบาท อยู่ที่ใคร ระหว่าง ชุมชน ครอบครัว วัด อยู่ที่แต่ละครอบครัวมากกว่า
เสนีย์ หวังทางมี และ กัลยา เที่ยงแล้ว เก็บข้อมูล
แบบสอบถามข้อมูลการทำวิจัย เรื่อง แซนโฎนตาปลอดเหล้า ประวัติผู้ให้ข้อมูล ชื่อ ด.ญ.อรวรรณ เฉลียวไว อายุ ๑๔ ปี อาชีพ นักเรียน บ้านเลขที่ ๒๙ หมู่ ๑ บ้านทุ่งมน ตำบลทุ่งมน อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ ๓๒๑๔๐ ๑. ทำไมต้องแซนโฎนตา เป็นประเพณีแต่ดั้งเดิม เกิดมาก็เห็นพ่อ แม่ พี่น้องทำ ๒. การจูนโฎนตาทำอย่างไร จัดของใส่ตระกร้าแล้วเอาไปจูนตายาย ๓. บทบาทสำคัญของการแซนโฎนตาอยู่ที่ใคร คนในครอบครัวของเรา ๔. ทำไมถึงใช้เหล้าแซนโฎนตา เพราะเกิดมาเห็นเขาใช้เหล้าแซนโฎนตาเลย ๕. สิ่งที่จะใช้ทดแทนเหล้ามีหรือไม่ มี คือ น้ำหวาน น้ำเปล่า น้ำมะพร้าว ๖. ถ้าไม่ใช้เหล้าแซนโฎนตาจะมีโทษอย่างไร ไม่มีโทษ แต่ว่าเคยใช้มาแต่ก่อน ๗. เหล้าเกี่ยวข้องกับอะไรมากว่ากัน ระหว่างพิธีกรรมแซนโฎนตา กับ คนแซนโฎนตา พิธีกรรมการเซ่นไหว้ ๘. ทำต้องแซนโฎนตาปลอดเหล้า เพราะ มีโครงการแซฯโฎนตาปลอดเหล้า ๙. ทำไมบางเทกระเฌอที่วัด บางบ้านเทกระเฌอที่บ้าน เทเพื่ออุทิศให้ปู่ ย่า ตายาย ที่ล่วงลับไปแล้ว ๑๐. การเทกระเฌอโฎนตา ทำไมต้องเทช่วง ตี ๔ ตี๕ ซึ่งมืดอยู่ เพราะเป็นเวลาที่เขาปล่อยให้มารับส่วนบุญส่วนกุศล ๑๑. การแซนโฎนตาบาทบาท อยู่ที่ใคร ระหว่าง ชุมชน ครอบครัว วัด ครอบครัว
เสนีย์ หวังทางมี และ กัลยา เที่ยงแล้ว เก็บข้อมูล 1. ครัวเรือนที่เทกระเฌอที่บ้าน ครอบครัวนางลัย ชาวเมืองดี 2. ครัวเรือนที่เทกระเฌอที่วัด ครอบครัว น.ส.เสียบ ทรงแสงจันทร์ 3. พ่อ-แม่และพ่อตา แม่ยาย เทที่บ้าน ครอบครัวนางบิน กับ ครอบครัวนางแตะ 4. ความแตกต่างฝ่ายพ่อ –แม่ กับ พ่อตา แม่ยาย น.ส.ลักขณา พ่อแม่ น.ส.เทกระเฌอที่วัด พ่อตา-แม่ยาย เทกระเฌอที่บ้าน 5.บ้านที่แซนโฎนตารวมกันทั้งตระกูล ( หลายครอบครัว) บ้านของกัลยา เที่ยงแล้ว แซนประกอบด้วย - นางเปาว์ สวายประโคน - นางสะอาด ครองชื่น - นางสัญญา ชาวเมืองดี - นางกัลยา เที่ยงแล้ว ทั้งหมดนี้รวมกันแซน ณ บ้านนางเปาว์ 6. บ้านที่แซนเดี่ยว - บ้านของนายเยิม เหมาะเป็นดี ( แซนเดี่ยว แต่ญาติมาร่วมแจมด้วย) 7. การจูนโฎนตา ที่ทำเป็นประจำ นางเสนีย์ หวังทางมี เป็นการจูนโฎนตา ให้กับปู่ ย่า และพ่อแม่ที่ยังไม่ตาย เป็นการจูนโฎนตาคนเป็น พอเราจูนเสร็จ พ่อแม่ก็เอาไปจูนให้กับปู่ ย่า ตายาย ที่เสียชีวิตแล้ว เป็นการจูนอีกรอบหนึ่ง 8. บ้านที่ห่อข้าวต้มอย่างกระตือรือร้น บ้านของกัลยา + นางเปาว์ ( เพราะลูกหลานคอยกินอยู่) 9. การจัดสถานที่และแซนโฎนตาตั้งแต่เช้าตรู่ บ้านนางเย็น ทองกระจาย
10. การแต่งงานข้ามเผ่าพันธุ์ / เสื่อมลงไหม เป็นครอบครัวของนางแสงอรุณ จันทร์กลิ่น ไม่เสื่อมลงหรอก เพราะฝ่ายสามี เขาก้อเข้าร่วมพิธีกรรมมาตลอด เห็นดี เห็นงามด้วยมาตลอด กัลยา เที่ยงแล้ว รายงาน เสนีย์ หวังทางมี ผู้บันทึก
กันยายน ๒๕๕๑
- 16 ก.ย. 2551 ถอดประสบการณ์นักวิจัยชุมชน ประเด็น “ ประเพณีแซนโฎนตาปลอดเหล้า”
เมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๕๑ ณ วัดสะเดารัตนาราม
หนังสือ
๑๕ กันยายน ๒๕๕๑
เรื่อง งานสืบสานคุณค่าจารีตแซนโฎนตาปลอดเหล้า
เรียน เจ้าอาวาสวัดสะเดารัตนาราม
สิ่งที่ส่งมาด้วย กำหนดการ จำนวน ๑ ฉบับ
เนื่องด้วย เครือข่ายภาคประชาสังคมสุรินทร์สร้างสุข ซึ่งหนุนเสริมกระบวนการทำงานของชุมชนท้องถิ่น เน้นการผนึกกำลังองค์กรภาคีความร่วมมือในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ โดยใช้กระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมเป็นสำคัญ ควบคู่ไปกับการประสานความร่วมมือกับระดับนโยบายเพื่อนำไปสู่ชุมชนเข้มแข็งสามารถจัดการตนเองได้อย่างยั่งยืน จึงเล็งเห็นความสำคัญในการเป็นส่วนหนึ่งในการสืบสานประเพณีวัฒนธรรมชุมชนท้องถิ่นจังหวัดสุรินทร์ จึงได้จัดงาน “สืบสานคุณค่าจารีตแซนโฎนตาปลอดเหล้า” ซึ่งจะในวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๕๑ เวลา ๐๙.๐๐– ๑๖.๓๐ น. ณ เวทีผไทสราญ จังหวัดสุรินทร์ โดยมีกลุ่มเป้าหมาย ๔๐๐ คน
ดังนั้น คณะทำงานเครือข่ายประชาสังคมสุรินทร์สร้างสุข จึงใคร่ขอเรียนเชิญท่านและสมาชิกร่วมเป็นเกียรติในงาน ร่วมจัดนิทรรศการ สาธิตการห่อข้าวต้ม แซนโฎนตาปลอดเหล้า และร่วมกำหนดแนวทางการจัดกิจกรรมแซนโฎน ตาอย่างมีคุณค่าร่วมกัน รายละเอียดตามสิ่งที่มาด้วยแนบท้าย หวังเป็นอย่างยิ่งคงได้รับความร่วมมือ จักขอขอบคุณมา ณ โอกาสนี้
การสืบสานคุณค่าจารีตแซนโฎนตาปลอดเหล้า
- วันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๕๑ ณ เวทีผไทสราญ อ.เมือง จ.สุรินทร์
โดย...เครือข่ายประชาสังคมสุรินทร์สร้างสุข
วัตถุประสงค์
๑. เพื่อสืบสานคุณค่าจารีต “แซนโฎนตา”
๒. เพื่อเกิดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ของภาคีเครือข่ายประชาสังคมสุรินทร์สร้างสุข
๓. เพื่อได้ข้อเสนอการดำเนินงานแซนโฎนตาปลอดเหล้าให้เป็นนโยบายสาธารณะร่วมกับกระบวนภาคีเครือข่าย
กำหนดการ
๐๙.๐๐ น. เดินทางจากตำบลทุ่งมนด้วยรถยนต์ ๖ คัน
๐๙.๓๐ น. - ๐๙.๔๕ น. การแสดงบนเวทีเขตบริการบ้างยาง-ศรีตะวัน โครงการสงเคราะห์เด็กยากจน ซี.ซี.เอฟ จังหวัดสุรินทร์
๐๙.๔๕ น. - ๑๐.๓๐ น. การจัดนิทรรศการของภาคีเครือข่าย
๑๐.๓๐ น. - ๑๒.๐๐ น. “ผู้เฒ่าเล่าให้ฟัง” โดยการสาธิต การห่อข้าวต้ม / การเตรียมกระเฌอเซ่นไหว้โฎนตา
๑๒.๐๐ น. - ๑๓.๐๐ น. รับประทานอาหาร
๑๓.๓๐ น. - ๑๕.๐๐ น. เสวนาหัวข้อ “คุณค่าจารีตแซนโฎนตาปลอดเหล้า”
ดำเนินรายการโดย. คุณบำรุง เป็นสุข ผู้ประสานงาน สคล.ภาคอีสาน
ประเด็นในการเสวนา
๑. บทเรียนการจัดแซนโฎนตา ๒๕๕๐
๒. นำเสนองานวิจัย “แซนโฎนตา ”โดยพระอาจารย์พิเชษฐ์ และคณะ
๓. ผลงานเชิงพื้นที่ โดยองค์กรขวัญชุมชน และชุมชนคาบเหนือ
๔. แนวทางการจัดกิจกรรมแซนโฎนตาอย่างมีคุณค่า
ผู้ร่วมรับฟังการเสวนา
๑.คณะกรรมการควบคุมเครื่องแอลกอฮอล์จังหวัดสุรินทร์
๒. คณะอนุกรรมการควบคุมเครื่องแอลกอฮอล์จังหวัดสุรินทร์
๓. ตัวแทนวัดและชุมชนที่ร่วมจัดงานแซนโฎนตา วันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๕๑
๔. ภาคประชาสังคมสุรินทร์สร้างสุข
๑๕.๐๐ น. เคลื่อนขบวน ไปเซ่นไหว้โฎนตาหน้าอนุสาวรีย์พระสุรินทร์ภักดี
๑๖.๓๐ น. พิธีปิดกิจกรรม
หมายเหตุ ถ่ายทอดสดวิทยุชุมชนจังหวัดสุรินทร์ตลอดทั้งงาน
- ๒๐ กันยายน ๒๕๕๑ ท่ามกลางเทศกาลเดือน ๑๐ ฤดูกาลที่ท้องทุ่งเจิงนองด้วยน้ำท่าบริบูรณ์ และวันที่มีอากาศก็ครื้มฟ้าครื้มฝน ร่มเย็นสบายทั้งวัน ด้วยแรงแห่งความรักและศรัทธาในท้องถิ่น ประชาคมสุรินทร์สร้างสุข พร้อมด้วย โครงการวัดเขตปลอดเหล้า ครอบครัวเข้มแข็ง ซีซีเอฟ สมาคมพัฒนาเครือข่ายองค์กรชุมชน สมาคมสภาเยาวชนจังหวัดสุรินทร์ โครงข่ายความร่วมมือฯ เครือข่ายองค์กรงดเหล้าสุรินทร์ คณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จังหวัดสุรินทร์ และชุมชนตำบลทุ่งมน ตำบลตาเบา ตำบลเทนนีย์ แล้วเพิ่มเติมเต็มโดย วัดสะเดารัตนาราม ศูนย์อบรมเยาวชนสุรินทร์ และวัดสุวรรณวิจิตร องค์กรศาสนาที่เข้ามาสนับสนุนความอิ่มอร่อยด้วยโรงทาน เช่น ส้มตำ ข้าวเหนียว ข้าวต้ม และขนมต่าง ๆ พาฝีมือชาวบ้านที่มาลงแรงช่วยกันหุง ห่อ ทอด ตำ สด ๆ ในงาน
มวลชนทั้งหมดได้ร่วมกันจัดกิจกรรมเพื่อสืบสานคุณค่าและค้นหาสาระของประเพณีประจำถิ่น คือ ประเพณีแซนโฎนตา ณ เวทีไผทสราญ เทศบาลเมืองสุรินทร์ นับว่าเป็นการจัดงานที่เกิดประโยชน์สูงมาก คุ้มค่าจริง ๆ งานนี้มีแต่ความสุขเปื้อนใบหน้าประชาชีที่ร่วมทำงาน เกิดความสุขกันถ้วนหน้า วิน ๆ ทุกฝ่าย งานลงขันช่วยกันแบบนี้มักจะก่อเกิดประโยชน์มีประสิทธิภาพสูงสุดเสมอ จิตอาสาและความรับผิดชอบเกิดขึ้นง่าย ๆ โดยอัตโนมัติที่ยิ่ง ๆ กว่าการกล่าวสอนด้วยคำพูดอย่างเดียว
การแบ่งปัน การเสียสละ การทุ่มเท เพื่อสร้างผลงาน สร้างประสบการณ์ สร้างความดี เป็นวิถีชุมชนตลอดมา โดยเฉพาะงานนี้ชาวบ้านมีส่วนร่วมกันทุกคน ต่างได้แสดงออกด้านคุณธรรมแล้ว จึงเป็นงานที่มีความสุขจริง ๆ
ในท่ามกลางบรรยากาศแห่งวิถีวัฒนธรรม การแบ่งปัน รอยยิ้ม อวบอวลด้วยคำพูดคำบอกเล่าถึงตำนานจารีตประเพณีชุมชนที่ฝังแน่นในจิตใจ มีการช่วยกันเรียกขานเซงแซ่ ถึงปู่ย่าตายายที่ล่วงลับไปนานแล้วให้ได้มารับเอาบุญกุศลที่ลูกหลานอุทิศแล้วโดยไม่เลือกหน้า สีหน้าแห่งความตระหนักรู้กตัญญูคุณบรรพบุรุษ ทางคณะทำงานก็สอดแทรกสาระความรู้ ทัศนคติที่ถูกต้องอย่างง่ายดาย แม้จะมีคำหนัก ๆ ที่มักจะขัดใจคนกินเหล้าก็ตามที แต่เวทีนี้เป็นเวทีของคนใฝ่ศีลไฝ่ธรรม อยากจะประกาศก้องให้โลกทั้ง ๓ รับรู้มานานแล้วเจริญรอยตามพระศาสดา จึงไม่ยากเลยที่มวลชนจะได้ประกาศศักดิ์ศรี “ คนสุรินทร์ ไม่กินสุรา” “ สืบสานคุณค่าแซนโฎนตาปลอดเหล้า” ด้วยป้ายขนาดใหญ่ และตัวหนังสือโต ๆ
พระมหาวีระ กิตฺติวณฺโณ
ณ วัดสะเดารัตนาราม
- ๒๑ กันยายน ๒๕๕๑
สรุปงานเมื่อวาน สืบสานคุณค่าแซนโฎนตาปลอดเหล้า
เสนีย์ หวังทางมี : ได้ความรู้เยอะแยะเลย ประทับใจมาก
หมวด เพียรเสร็จ : ได้ความรู้และประสบการณ์ทั้งภาคปฏิบัติ ได้แลกเปลี่ยนความรู้กันระหว่างตำบล มีกำลังใจในการสืบทอดประเพณีวัฒนธรรมแซนโฎนตา เกิดความชัดเจนในการที่จะถ่ายทอดความรู้สู่อนุชน
กัลยา เที่ยงแล้ว : ตื่นเต้นดีใจที่ได้ร่วมงาน ได้เห็นที่ไม่เคยเห็น ได้ยกระดับได้ขึ้นพูดบนเวที เป็นวิทยากรแลกเปลี่ยนความรู้ด้วย ประทับใจ กล้าพูดไมค์แล้ว หายสั่นไปเยอะ รู้มากจริง ๆ จากที่ไม่เคยรู้อะไรเลย แต่ก่อนทำตามเขา
เอียบ พูนลัน : ได้เห็นพิธีกรรมที่ลึกซึ้งของตำบลอื่น ประทับใจ ได้ร่วมจัดพิธีกรรมด้วยมือของตน รู้และชัดเจนยิ่งขึ้น
ข้อคิดเห็นอภิปรายร่วมกัน
คนแก่คนเฒ่าบ้านเรารู้อะไรมากขึ้นมาก , ปีหน้าจะจัดระเบียบพิธีกรรมให้ชัดเจนยิ่งขึ้น , ต้องประชุมกันก่อนจัดงาน , ปีนี้ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรประชุมกันก็ทำไม่ถูกเหมือนกัน , งานที่เราทำก็มากหลายอย่างนะปีนี้, วางแผนอาหารเป็นหลัก พิธีกรรมเลยเป็นรอง , ต่อไปแบ่งงานให้ชัดเจนก่อนไปจัด , ให้มีการรับผิดชอบกันเป็นอย่าง ๆ เป็นแผนก ๆ ไป , เป็นประสบการณ์ใหม่ของชุมชนบ้านเราที่ได้ออกไปร่วมงานแซนโฎนตาที่จังหวัด , ปีที่แล้วเราจัดเฉพาะในตำบลของเรา , ปีที่แล้วจัดที่จังหวัดก็จัดเพียงชุดเดียว, ปีนี้มีการอธิบาย มีการสาธิต มีข้อแตกต่างกันของแต่ละพื้นที่ เกิดข้อเปรียบเทียบกัน จึงเข้าใจชัด , เห็นงานนี้แล้ว รู้สึกว่าไม่ยากเลย งานต่อไปทำได้ดีกว่านี้แน่นอน , ก่อนไปก็ไม่รู้ว่าจะไปกี่คน ไปจริงไปตั้ง ๖ คันอย่างนี้ ไม่ได้เตรียมรถล่วงหน้า, คนทั้งหมดทั้งเด็กเล็กด้วย ไม่ต่ำกว่า ๑๐๐ คน, เด็กที่ไปก็ต้องซึมซับบ้างแหล่ะ , เราไปช่วยงานหลายอย่าง , ผลพลอยได้ของชุมชนเราอีกอย่าง คือมีการมอบเสื้อให้คนคิดจะเลิกเหล้าตลอดชีวิตตั้ง ๑๐ คน เป็นคนที่เคยกินเหล้าทั้งนั้น , พิธีแซนโฎนตาของ ต . ตาเบา ทำได้ชัดเจนมาก เป็นขั้นเป็นตอน ศักดิ์สิทธิ์จริง
๒๑ ก.ย. ๕๑ เวลา ๑๐.๐๐ น.
ณ วัดสะเดารัตนาราม
ตุลาคม ๒๕๕๑
- ๑๗ – ๑๙ ตุลาคม ๒๕๕๑ อบรมอาสาสมัครพิทักษ์สายน้ำ จำนวน ๑๒๐ คน ณ ที่พักสงฆ์เกาะตาเล็ก บ้านตะคียน ตำบลสวาย อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์
พฤศจิกายน ๒๕๕๑
- ๕ พ.ย. ๒๕๕๑ เริ่มกิจกรรมสวดมนต์ ปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ จงกรม ภาคค่ำ ณ วัดอุทุมพร อาทิตย์ละ ๓ ครั้ง เย็นวัน ศุกร์ เสาร์ อาทิย์
- ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ จัดงานณรงค์เพื่ออนุรักษ์และฟื้นฟูประเพณีเขาคีรีวงคต หลวงปู่ริม รตนมุนี ป่าชุมชนกำไสจาน ครั้งที่ ๓ ประจำปี ๒๕๕ ๑
- 13 พ.ย.2551 เปลี่ยนยางรถแดง 2 เส้น ณ แมคโครสุรินทร์ เวลา บ่าย 2-บ่าย 4
ธันวาคม ๒๕๕๑
- 23 ธ.ค.2551 บันทึกข้อมูล
พระมหาวีระ กิตฺติวณฺโณ ( ได้ทุกทาง) อายุ ๓๘ ปี พรรษา ๑๙ นธ. เอก ปธ. ๓ ปริญญาตรี ( พธ.บ.) เลขประจำตัวประชาชน ๓-๓๒๐๕-๐๑๐๕๓-๐๘-๗ ที่อยู่ วัดสะเดารัตนาราม เลขที่ ๑ หมู่ที่ ๑๐ ตำบล ทุ่งมน อำเภอ ปราสาท จังหวัด สุรินทร์
ตำแหน่ง/บทบาท
เจ้าอาวาสวัดสะเดารัตนาราม
รองเจ้าคณะตำบลทุ่งมน
เลขานุการเจ้าคณะตำบลทุ่งมน
กรรมการสถานศึกษา โรงเรียนบ้านทุ่งมนฯ
ประธานกลุ่มอาสาสมัครพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตำบลทุ่งมน-สมุด
ผู้ประสานงานศูนย์การเรียนรู้ชุมชนตำบลทุ่งมน ( ศูนย์คุณธรรม)
ที่ปรึกษาสมาคมบ้านวัดโรงเรียนตำบลทุ่งมน-สมุดน่าอยู่
สมาชิกสภาองค์กรชุมชนตำบลทุ่งมน
กรรมการที่ปรึกษาองค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งมน
คณะทำงานควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จังหวัดสุรินทร์
กรรมการบริหารโครงการเสริมกระบวนการเรียนรู้เพื่อคนสุรินทร์งดดื่มสุราและวัดเขตปลอดสุราเฉลิมราชย์ ฯ ระยะที่ 3
คณะกรรมการรับฟังความคิดเห็น ในการจัดทำธรรมนูญว่าด้วยสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ
ผู้แทนระดับจังหวัดลุ่มน้ำมูล
ที่ปรึกษาอนุกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมจังหวัดสุรินทร์
ประธานคณะกรรมการสวัสดิการชุมชนท้องถิ่นจังหวัดสุรินทร์
ประธานกองบุญคุณธรรมเพื่อจัดสวัสดิการผู้นำชุมชนคนสุรินทร์
ผู้ประสานงานเครือข่ายคุณธรรมสร้างสรรค์สังคมสันติสุขจังหวัดสุรินทร์
สมาชิกเครือข่ายพระสงฆ์เพื่อการพัฒนา จ.สุรินทร์
สมาชิกกิตติมศักดิ์ในที่ประชุมระดับจังหวัดสุรินทร์สภาองค์กรชุมชนตำบล
อนุกรรมการหนุนเสริมความเข้มแข็งสภาองค์กรชุมชนตำบล จังหวัดสุรินทร์
คณะทำงานประชาสังคมสุรินทร์สร้างสุข
คณะทำงานจังหวัดกลไกบูรณาการ
สมาชิกโครงข่ายความร่วมมือสภาที่ปรึกษาการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม จังหวัดสุรินทร์
กรรมการชมรมศิษย์เก่ามหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตสุรินทร์
คณะทำงานสวัสดิการชุมชนท้องถิ่นภาคอีสาน
๒๓ ธ.ค. ๕๑
บันทึก บทสรุปนำเสนอ ต่อผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์
- ๕ ธันวาคม ๒๕๕๑ บันทึก บทสรุปนำเสนอ ต่อผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ ในเวทีมหกรรมสุรินทร์สร้างสุข ณ ลานวัฒนาธรรมเชียงปุม อบจ.สุรินทร์ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๑
ประเด็น กองบุญคุณธรรมเพื่อจัดสวัสดิการชุมชนคนสุรินทร์
ข้อดีที่ค้นพบในขบวนสวัสดิการชุมชนจังหวัดสุรินทร์
๑. สมาชิก คณะทำงานหรือคณะกรรมการ กองบุญคุณเพื่อจัดสวัสดิการชุมชนตำบล ที่ได้ดำเนินการมาแล้วทุกตำบล เกิดความรัก ความสามัคคี มีการทำงานเชื่อมโยง บูรณาการกับประเด็นงานอื่น ๆ หรือ กลุ่มคนอื่น ๆ ทั้งในตำบลและนอกตำบล
๒. คณะทำงานระดับตำบล สามารถจัดทำสื่อ เช่น เสื้อทีม ป้ายบอร์ด นิทรรศการ แผ่นพับ เพื่อประชาสัมพันธ์องค์กรตนเอง และ เผยแพร่ข้อมูลองค์ความรู้ได้
๓. คณะทำงานระดับตำบล มีภาวะความเป็นผู้นำ ทำงานด้วยจิตอาสา มีจิตเมตตา กรุณา เสียสละ อดทน สามัคคี ก่อเกิดสังคมคุณธรรม ที่มีประเพณีวัฒนธรรมที่ที่พึงประสงค์อย่างเข้มแข็ง
๔. คณะทำงานระดับตำบลระดับแกนนำทุกคน มีความชัดเจนในหลักคิด เรื่อง สวัสดิการชุมชน และสามารถถ่ายทอดหลักคิด องค์ความรู้ ที่เป็นประสบการณ์ตรง ให้กับกลุ่มเป้าหมาย/ผู้สนใจทั่วไปได้อย่างดี
๕. สวัสดิการชุมชน เป็นเครื่องมือสำคัญในการส่งเสริมและพัฒนา คน ผู้นำ ชุมชน ที่ประกอบด้วย เด็ก เยาวชน ชาวบ้าน พระสงฆ์ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ส.อบต. อสม. กรรมการหมู่บ้าน กรรมการหมู่บ้าน ภูมิปัญญา ผู้นำธรรมชาติ หรือ องค์กร หน่วยงาน บ้าน วัด โรงเรียน องค์การบริหารส่วนตำบล สถานอนามัย สภาองค์กรชุมชนตำบล มีส่วนร่วมในการยกระดับจิตใจซึ่งกันและกันทั้งตำบล เกิดความสามัคคี และทำงานร่วมกันอย่างมีความสุข
๖. การดำเนินการสวัสดิการชุมชน คณะกรรมการจะมีการปฏิบัติตนให้ชุมชนพิสูจน์จนเกิดการศรัทธาของชุมชนอย่างชัดเจน มีการกระจายบทบาทความภาคภูมิใจร่วมกัน ทำงานเป็นเครือข่าย และกลุ่มคนจำนวนมาก เกิดพลังทางชุมชนได้ง่าย
๗. สวัสดิการชุมชน ก่อเกิดการทำงานแบบบูรณาการ คน แนวคิด ประเพณีวัฒนธรรม องค์กร ในพื้นที่ตำบลอย่างเป็นรูปธรรม
๘. การจัดสวัสดิการชุมชน สามารถจัดสวัสดิการแก่สมาชิกและชุมชนได้อย่างหลากหลาย โดยมี “เงินเป็นเครื่องมือ” ในการจัดสวัสดิการชุมชน
ข้อด้อย ข้อจำกัด อุปสรรค ในขบวนสวัสดิการชุมชนในปัจจุบันในจังหวัดสุรินทร์
๑. สวัสดิการชุมชน ( สวัสดิการวันละบาท) เป็นนวัตกรรมใหม่ และประเด็นงานใหม่ที่เริ่มเข้าสู่สังคมจังหวัดสุรินทร์ เมื่อประมาณ ๑ ปีที่ผ่านมาเท่านั้น
๒. มีพื้นที่ตำบลที่ดำเนินการแล้วยังน้อยในจังหวัด และแต่ละตำบลที่ดำเนินการแล้วยังไม่ครอบคลุมพื้นที่ กลุ่มคน ทุกวัย หรือ ยังมีสัดส่วนสมาชิกในตำบลจำนวนน้อยอยู่
๓. กระบวนการเรียนรู้หลักคิดสำคัญ และข้อมูลองค์ความรู้ เรื่อง สวัสดิการชุมชน ยังไม่เป็นที่แพร่หลาย หรือการเรียนรู้ยังไม่เท่าทันกันในกลุ่มคน องค์กร หน่วยงาน ทั้งที่เกี่ยวข้อง และภาคีพัฒนาสังคม
๔. ในแต่ละพื้นที่ตำบลล้วนมีกองทุนต่าง ๆ ที่จัดสวัสดิการอยู่แล้ว จึงมีแรงจูงใจน้อยที่จะให้ผู้นำชุมชนต่าง ๆ ให้ความสนใจในจะเรียนรู้ความเป็นนวัตกรรมนี้ หรือยังไม่สามารถจะนำวิธีการ แนวทาง หลักการ หลักคิดไปปฏิบัติการได้อย่างง่ายในชุมชน
๕. เป็นประเด็นงานที่มีแนวทางไปในด้านคุณธรรมมากว่าเชิงอำนาจหรือบุญคุณ “ ให้อย่างมีคุณค่า รับอย่างมีศักดิ์” “เงินเป็นเพียงเครื่องมือ” จึงเป็นงานที่ต้องอาศัยกลุ่มผู้นำที่มีจิตศรัทธา มีความเสียสละ มีจิตสาธารณะ จิตอาสา มีคุณธรรมสูง หรือมีกำลังใจในการนำที่สูง ในการนำพาชุมชนสู่การจัดตั้งและดำเนินงาน
๖. เป็นประเด็นงานที่จะต้องมีความต่อเนื่องและยั่งยืนในชุมชน ประกอบกับบทเรียนทางสังคมในอดีตที่มีกลุ่ม องค์กร งานลักษณะบางแห่งนี้ล้มเลิก หรือถูกฉ้อโกง เป็นข่าวลบ การตัดสินใจนำของผู้นำหรือการตัดสินใจตามของชาวบ้าน จึงต้องใช้เวลาในการตัดสินใจนาน
๗. เป็นประเด็นงานที่ต้องดำเนินการครอบคลุมพื้นที่ทั้งตำบล “ใช้ตำบลเป็นตัวตั้ง” และต้องอาศัยความร่วมมือของสมาชิกจำนวนมากในตำบล การตัดสินใจดำเนินงานจึงต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในตำบล
๘. เป็นประเด็นงานที่ต้องอาศัยการมีส่วนร่วมจากสมาชิกจำนวนมากในตำบล คือ ทุกเพศ ทุกวัย ทุกฐานะ ที่สมาชิกต้องจ่ายเงินสมทบสร้างสวัสดิการชุมชนปีละ ๓๖๕ บาท “ออมเพื่อให้” จึงต้องอาศัยความเข้าใจ ความเสียสละ และความศรัทธา ความไว้วางใจกันสูง และชุมชนต้องมีความสามัคคี ไม่มีความขัดแย้งทางสังคมและการเมือง ถ้าจะให้เกิด “สังคมสวัสดิการ” สวัสดิการชุมชนต้องเป็นวิถีชีวิตวัฒนธรรมใหม่ของชุมชนที่เข้มข้น เป็นธรรม เสมอภาค จำต้องอาศัยการแลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างจริงจัง ต่อเนื่อง มีส่วนร่วมอย่างทั่วถึงและมีความสุข
๙. เป็นกิจกรรมที่ต้องบูรณาการกับความสุข ความพึงพอใจอย่างมาก โดยใช้เงินเป็นเพียงเครื่องมือในเบื้องต้นเท่านั้น คือ ต้องทำงานกับนามธรรมยิ่งกว่าการให้สวัสดิการที่เป็นเงินเท่านั้น จึงต้องอาศัยผู้นำองค์กรที่มีความสามารถ มีความคิดสร้างสรรค์เชิงคุณธรรมสูง
๑๐. ผู้นำที่ฝักใฝ่อำนาจจะไม่ถนัดนักหรือไม่สามารถจะดำเนินงานสวัสดิการชุมชนได้ ต้องอาศัยผู้นำที่ฝักใฝ่คุณธรรมจึงเหมาะแก่การดำเนินงานสวัสดิการชุมชน
๑๑. ผู้นำชุมชนที่ไม่มีตำแหน่งทางการ จะถูกเพ่งเล็งจากผู้นำที่ตำแหน่งทางการ เมื่อคุณธรรมหรือความคิดเห็นไม่เสมอกัน อันเป็นปรากฏการณ์ความหวาดระแวงเชิงการเมือง
๑๒. สวัสดิการชุมชน ยังไม่เป็นนโยบายสาธารณะเต็มพื้นที่จังหวัดสุรินทร์====
๑. ต้องการให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ( อบต., เทศบาล) จัดสรรงบประมาณในการส่งเสริมสนับสนุน การจัดกิจกรรมเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เรื่อง สวัสดิการชุมชน ในระดับหมู่บ้าน และระดับตำบล เพื่อการจัดตั้งกองบุญคุณธรรมสวัสดิการชุมชนตำบล/เทศบาล
๒. ต้องการให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อบจ.) จัดสรรงบประมาณในการส่งเสริมสนับสนุนการจัดกิจกรรมเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เรื่อง สวัสดิการชุมชน ระดับจังหวัด และระดับอำเภอ
๓. ต้องการให้องค์การบริหารส่วนตำบล เทศบาล องค์การบริหารส่วนจังหวัดสุรินทร์ และ จังหวัดสุรินทร์ มีส่วนสำคัญในด้านงบประมาณ ในการจัดตั้งกองบุญคุณธรรมเพื่อจัดสวัสดิการชุมชนตำบล.....( สวัสดิการวันละบาท) เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชน ระดับตำบล ระดับอำเภอ ระดับจังหวัด
๔. ต้องการให้ ผู้นำชุมชน อสม. พระสงฆ์ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ส.อบต. สท. ผู้บริหาร ผู้นำธรรมชาติ ภูมิปัญญา มีส่วนร่วมด้วยกันทุกฝ่ายในการจัดตั้งและพัฒนากองบุญคุณธรรมฯ มี บ้าน วัด โรงเรียน สถานีอนามัย สภาองค์กรชุมชนตำบล องค์การบริหารส่วนตำบล เทศบาล เป็นภาคีร่วมในการหนุนเสริม สนับสนุน
๕. ต้องการให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ( อบต. เทศบาล และ อบจ.) จัดสรรงบประมาณอุดหนุนกองบุญคุณธรรมเพื่อจัดสวัสดิการชุมชนตำบล/เทศบาล............ เป็นรายปี เพื่อจัดสวัสดิการชุมชน ตามความต้องการของชุมชน
๖. ต้องการให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อบจ.) จัดสรรงบประมาณอุดหนุนกองบุญคุณธรรมเพื่อจัดสวัสดิการผู้นำชุมชนคนสุรินทร์ เพื่อจัดสวัสดิการผู้นำชุมชนคนสุรินทร์ จำนวน ๑,๐๐๐ คน เพื่อเป็นขวัญกำลังใจผู้นำการพัฒนาทุกประเด็นงาน ส่งเสริมความเข้มแข็งภาคประชาสังคมสุรินทร์ เชื่อมโยงกันบูรณาการงานทุกประเด็น
๗. ต้องการให้เกิดเครือข่ายกองบุญคุณธรรมสวัสดิการชุมชน ระดับอำเภอ และ ระดับจังหวัด
๘. ต้องการให้องค์การบริหารส่วนตำบล หรือ เทศบาล ที่เป็นพื้นที่ดำเนินงานกองบุญคุณธรรมสวัสดิการชุมชนแล้ว ได้ให้การสนับสนุนงานมหกรรมสวัสดิการชุมชน เพื่อการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ขบวนสวัสดิการชุมชนจังหวัดสุรินทร์ เป็นการเฉพาะในแต่ละพื้นที่ ปีละ ๕,๐๐๐ บาท ตามรายละเอียดดังนี้
(๑) เพื่อจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์องค์กร ตำบลละ ๒,๐๐๐ บาท
(๒) เพื่อเป็นค่าเดินทาง ตำบลละ ๑,๐๐๐ บาท
(๓) เพื่อเป็นค่าอาหาร ตำบลละ ๒,๐๐๐ บาท
ข้อคิดเห็น/เสนอแนะ
ควรมีการจัดงานมหกรรม กองบุญคุณธรรมเพื่อจัดสวัสดิการชุมชนคนสุรินทร์
(๑) ระดับจังหวัด ปีละ ๑ ครั้ง
(๒) ระดับอำเภอหรือโซน ปีละ ๑ ครั้ง
โครงการการพัฒนาและขยายผลการจัดสวัสดิการชุมชนท้องถิ่น จ.สุรินทร์
- ๑๒ ธันวาคม ๒๕๕๑ รายงานผลการดำเนินงาน
โครงการการพัฒนาและขยายผลการจัดสวัสดิการชุมชนท้องถิ่น จ.สุรินทร์
คณะกรรมการสวัสดิการชุมชน จังหวัดสุรินทร์
การขับเคลื่อนเจตนารมณ์ของคณะกรรมการสวัสดิการชุมชนท้องถิ่นจังหวัดสุรินทร์
“ กองบุญคุณธรรมเพื่อจัดสวัสดิการชุมชนคนสุรินทร์”
- ร่วมสนับสนุนการจัดงานศพปลอดเหล้าหรืองานบุญปลอดเหล้า ผ่านระบบการจัดสวัสดิการชุมชน โดยกำหนดไว้เป็นระเบียบข้อบังคับในกองบุญคุณธรรมเพื่อจัดสวัสดิการชุมชนระดับตำบลและระดับจังหวัด กรอบมอบสวัสดิการเสริมคุณธรรมการจัดงานบุญปลอดเหล้ารายละ ๕๐๐ – ๒,๐๐๐ บาท
- เสริมศักยภาพเครือข่ายพระสงฆ์จังหวัดสุรินทร์ ในนาม “กลุ่มสหธรรมเพื่อการพัฒนาจังหวัดสุรินทร์” และ “เครือข่ายพระสงฆ์เพื่อการพัฒนาจังหวัดสุรินทร์” ร่วมเผยแผ่หลักธรรม หลักคิด กองบุญคุณธรรมเพื่อจัดสวัสดิการชุมชน ให้แผ่ขยายสู่ชุมชน สังคมอย่างกว้างขวาง และซึมซาบสู่วิถีชีวิตชุมชนอย่างยั่งยืน
- ส่งเสริมบทบาทพระสงฆ์จังหวัดสุรินทร์ ในการสงเคราะห์ชุมชนที่สอดคล้องกับ “ ยุทธศาสตร์สังคมไม่ทอดทิ้งกัน ยุทธศาสตร์ชุมชนเข้มแข็ง ยุทธศาสตร์สังคมคุณธรรม ”
- ดำเนินการจัดสวัสดิการผู้นำชุมชนคนสุรินทร์ โดยการจัดตั้งกองทุนสวัสดิการผู้นำชุมชน ในนาม กองบุญคุณธรรมเพื่อจัดสวัสดิการผู้นำชุมชนคนสุรินทร์
- จัดงานระดมทุนและประชาสัมพันธ์กองบุญคุณธรรมเพื่อจัดสวัสดิการผู้นำชุมชนคนสุรินทร์
- ส่งเสริมการจัดตั้งกองบุญคุณธรรมเพื่อจัดสวัสดิการชุมชนตำบลรวมเก่า-ใหม่ ไม่น้อยกว่า ๑๐๐ ตำบล ภายในปี ๒๕๕๒
- เสริมบทบาทสภาองค์กรชุมชนตำบล มีบทบาทสำคัญในการพัฒนากองบุญคุณธรรมเพื่อจัดสวัสดิการชุมชนตำบล
- รับสมัครสมาชิกกองบุญคุณธรรมเพื่อจัดสวัสดิการผู้นำชุมชนคนสุรินทร์ จำนวน ๕๐๐ รูป/คน ภายในปี ๒๕๕๒ และเพิ่มเป็น ๑,๐๐๐ รูป/คน ภายในปี ๒๕๕๓
- ประสานงานกับองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุรินทร์ เพื่อการอุดหนุนงบประมาณสำหรับการจัดสวัสดิการชุมชนคนสุรินทร์ อย่างต่อเนื่อง
- ให้ข้อมูล องค์ความรู้แก่องค์การบริหารส่วนตำบล เพื่อการอุดหนุน กองบุญคุณธรรมเพื่อจัดสวัสดิการชุมชนตำบล เป็นประจำทุกปี
- ประสานภาคีความร่วมมือกับ คณะสงฆ์จังหวัดสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ องค์การบริหารส่วนจังหวัดสุรินทร์ สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดสุรินทร์ สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน ( องค์การมหาชน) อย่างเต็มที่
- ประสานทุกภาคี เครือข่าย องค์กร ทุกส่วน เพื่อสร้างสรรค์สังคมสันติสุข อยู่เย็นเป็นสุขร่วมกันอย่างยั่งยืน
บันทึการทำงาน
15 มิ.ย.51 โอนงบ 140,000 - เข้าบัญชีจังหวัด กรุงไทย สาขา ถนนหลักเมือง พอช. -------- เตรียมจัดประชุม
28 มิ.ย. 51 เวทีประชุมวางแผนการทำงานกับคณะทำงานและแกนนำพื้นที่เป้าหมาย ห้องประชุมครุสภาวัฒนธรรมจังหวัด และ วัดศาลาลอย คณะทำงานและแกนนำพื้นที่ 68 คน 31 พื้นที่ 26,500 มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ผลการดำเนินงานสวัสดิการต่าง ๆ ใน 14 พื้นที่ และพื้นที่ดำเนินการใหม่อีกหลายพื้นที่
ได้มีการแบ่งโซนเพื่อช่วยกันประสานงานและรับผิดชอบการทำงานสวัสดิการชุมชน แบ่งเป็น 2 โซน คือ โซนเหนือ กับ โซนใต้ ด้านโซนเหนือมีศูนย์ประสานงานอยู่ที่วัดสุทธิวงศา ต.หัวงัว อ.สนม โซนใต้มีศูนย์ประสานงานอยู่ที่ วัดสะเดารัตนาราม ต.ทุ่งมน อ.ปราสาท จ.สุรินทร์
พระธรรมโมลี เจ้าคณะจังหวัดสุรินทร์ ให้โอวาท และ สมทบ ๕ ตำบล
4 ก.ค. 51 ประชุมวิจารณ์แผน อบจ.สุรินทร์ โรงแรมเพชรเกษม ผู้เข้าประชุมเต็มห้อง ------- ได้ประชาสัมพันธ์หลักคิดของกองทุนสวัสดิการชุมชนสู่ชาวสุรินทร์ และนำเสนอแผนสวัสดิการชุมชนบรรจุแผน ทาง อบจ.ได้บรรจุเข้าแผน 3 ปี รวมงบประมาณ 9,100,000 บาท
19 ก.ค. 51 ประชุมแลกเปลี่ยนเรียนรู้สวัสดิการชุมชนในพื้นที่ ตำบลจอมพระ ผู้นำชุมชน แกนนำชาวบ้าน 100 คน พื้นที่.........
สมทบ 1,300 แก้ไขปัญหาความไม่เข้าใจของผู้นำชุมชนและนักการเมืองท้องถิ่น เพื่อให้แกนนำตำบลสามารถดำเนินการเกี่ยวกับสวัสดิการชุมชนต่อไปและ ขยายพื้นที่ได้
24 ก.ค. 51 เวทีสภาองค์กรชุมชนตำบล เกษตรจังหวัด แกนนำจังหวัด 60 คน พอช......... ได้บูรณาการสวัสดิการชุมชนควบคู่กับสภาองค์กรชุมชนตำบล เพื่อให้พื้นที่เกิดความเข้มแข็ง ตามหลักคิดว่ากองทุนสวัสดิการชุมชนอาศัยศักยภาพของสภาองค์กรชุมชนตำบลในการขับเคลื่อน และสภาองค์กรชุมชนตำบลมีภารกิจ บทบาทในการพัฒนาชุมชน
9 ก.ค. 51 ประชุมพื้นที่บูรณาการ 3 ตำบล วัดสะเดารัตนาราม แกนนำ 30 คน พอช....... ตำบลทุ่งมน ตำบลสมุด ตำบลปราสาททนง มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ของพื้นที่ เป็นที่ประจักษ์ว่ากองทุนสวัสดิการชุมชนเป็นแกนหลักในการเคลื่อนกิจกรรมในตำบลอีกหลายด้าน เช่น งานศพปลอดเหล้า สภาองค์กรชุมชนตำบล เป็นต้น
17 ก.ค. 51 จัดทำแผนขับเคลื่อนสภาองค์กรชุมชนตำบล บ้านแสงตะวัน คณะทำงาน 10 คน พอช.
สมทบ 1,000 ได้บูรณาการวิธีการขับเคลื่อนสวัสดิการชุมชนควบคู่ไปกับการพัฒนาสภาองค์กรชุมชนตำบล อาศัยงบประมาณและบทบาทสภาองค์กรชุมชนตำบลและได้แนวทางในการจัดทำสวัสดิการผู้นำชุมชน
18 ก.ค. 51 ประชุมในระดับจังหวัดของสภาองค์กรชุมชนตำบล กศน.สุรินทร์ ตัวแทนสภาองค์กรชุมชนตำบล 13 ตำบล พอช......... ได้มอบภารกิจให้แก่ สภาองค์กรชุมชนตำบลที่ได้จดแจ้งแล้วรับภารกิจในการพัฒนากองทุนสวัสดิการชุมชนต่อไปในอนาคต
27 ส.ค. 51 ประชุมปฏิบัติการเพื่อจดรับรองเป็นองค์กรสวัสดิการชุมชน พมจ.สุรินทร์ ตัวแทนกองทุนสวัสดิการชุมชนจำนวน 12 กองทุน พมจ.......... มีตัวแทนกองทุนสวัสดิการชุมชนได้รับทราบข้อมูลการดำเนินการขอรับเป็นองค์กรสวัสดิการชุมชนตามกฎหมาย จำนวน 15 องค์กร
แกนนำพื้นที่ตำบลชุมพลบุรีรับหลักการสวัสดิการชุมชนไปดำเนินการในพื้นที่
30 ส.ค. 51 แกนนำกองทุนสวัสดิการชุมชนตำบลเมืองที ศึกษาดูงาน อบต.ทุ่งมน อ.ปราสาท วิทยากร 3 คน ตัวแทนตำบลต้อนรับ 10 คน
ผู้ศึกษาดูงาน 25 คน ศพส........... พื้นที่ตำบลทุ่งมน ได้แสดงศักยภาพกองทุนฯ และฝึกการเป็นศูนย์การเรียนรู้
แกนนำจากตำบลเมืองที อ.เมือง เกิดความเข้าใจในการดำเนินการจัดตั้งกองทุนสวัสดิการต่อไป
3-8 ก.ย. 51 จัดทำเอกสาร/ประสานเอกสาร วัดสะเดารัตนาราม กองทุนเก่า 14 ตำบล ใหม่ 12 ตำบล ----- ได้ข้อมูลเป็นปัจจุบัน และ ได้จัดทำเอกสารครบถ้วนเพื่อจัดส่ง พอช. ดำเนินการพัฒนากองทุนสวัสดิการต่อไป
9 ก.ย. 51 ประชุมคณะทำงาน/แกนนำ วัดศาลาลอย คณะทำงานและแกนนำพื้นที่ คน
พื้นที่ 24,132 ได้ทบทวนแผนงาน วิธีการ การทำงานของขบวนสวัสดิการชุมชนจังหวัดสุรินทร์ มีพื้นที่ใหม่และมีศักยภาพในการดำเนินการจัดตั้งเข้าร่วมเวทีประชุม คือ ตำบลปราสาททอง ตำบลขอนแตก ตำบลทมอ มีการอนุมัติสมทบกองทุนสวัสดิการชุมชนพื้นที่ใหม่ 12 พื้นที่ ได้รูปแบบการขยายพื้นที่ใหม่โดยการมอบให้พื้นที่เก่าเป็นพี่เลี้ยงแนะนำการจัดตั้ง เป็นการกระจายงานและฝึกปฏิบัติการจริง
9 ก.ย. 51 มอบงานให้แกนนำขยายพื้นที่/ประสานพื้นที่ใหม่ วัดศาลาลอย 27 ตำบล 27,000 ได้กระจายบทบาทแก่คณะกรรมการจังหวัดและแกนนำในการทำงานขยายพื้นที่สวัสดิการใหม่ ๆ ได้เพิ่มศักยภาพ / ฝึกฝนความสามารถในการทำงานในพื้นที่ตำบลใกล้เคียง
13 ก.ย. 51 ประชุมสมาชิกประจำปี ต.แนงมุด วัดแนงมุด พระมหาวีระ
สมาชิก ต.แนงมุด พื้นที่....... ได้เห็นความเข้มแข็งของกองทุน ต.แนงมุด พื้นที่ใกล้เคียงร่วมเรียนรู้
13 ก.ย. 51 ประชุมแกนนำ ต.ตานี วัดสุทัศนารังสรรค์ แกนนำตำบล 30 คน ต่อเนื่องจาก 9 ก.ย. 51 ได้จัดตั้งกองบุญคุณธรรม ต.ตานี มีระเบียบ และคณะกรรมการ
18 ก.ย. 51 ประชุมกลไกจังหวัด ห้องสภาวัฒนธรรม กลไกจังหวัด 900 ถ่ายเอกสารระเบียบสวัสดิการผู้นำชุมชนเพื่อการเผยแพร่ และจัดทำตรายาง
ได้เสนอเป็นศูนย์การเรียนรู้ด้านสวัสดิการ 3 แห่ง
19 ก.ย. 51 ประชุมแกนนำ ต.ปรือ วัดบักดอก แกนนำตำบล ต่อเนื่องจาก 9 ก.ย. 51 ได้เผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร องค์ความรู้ นำเอกสารไปศึกษาเรียนรู้ต่อ
19 ก.ย. 51 ประชุมแกนนำ ต.ขอนแตก ชุมชน คณะทำงานจังหวัด
ชาวบ้าน / พระ ต่อเนื่องจาก 9 ก.ย. 51 ได้เผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร องค์ความรู้สู่ชุมชน มีคณะทำงาน มีการนับสมัครสมาชิก
19 ก.ย. 51 ประชุมแกนนำ 5 ตำบล อ.สนม วิชาการ 5 ได้เผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร องค์ความรู้
22 ก.ย. 51 พบผู้จัดการภาคอีสาน ศูนย์เนทสุรินทร์ พระมหาวีระ ---- ได้นำเสนอโครงการพัฒนาสวัสดิการชุมชน โดยคณะสงฆ์จังหวัดสุรินทร์
กำหนดวันที่ 6 ต.ค. เพื่อนัดพระสงฆ์ร่วมประชุม ณ วัดศาลาลอย
24 ก.ย. 51 จัดทำเสื้อทีมงานจังหวัด 15 ตัว สุรินทร์ คณะทำงานจังหวัด 4,500 ได้เสื้อทีมจำนวน 15 ตัว มอบคณะทำงาน เตรียมจัดงาน 3 ธ.ค. 51
26 ก.ย. 51 ประชุมพิจาณารับรองเป็นองค์กรสวัสดิการชุมชน พมจ. สุรินทร์ อนุกรรมการจังหวัด พมจ....... ได้รับรองกองบุญคุณธรรมเป็นองค์กรสวัสดิการชุมชน จำนวน 6 องค์กร
26 ก.ย. 51 กราบเรียนเจ้าคณะจังหวัดสุรินทร์ วัดศาลาลอย พระมหาวีระ ----- กราบเรียน เรื่องการประชุมวันที่ 6 ต.ค. 51 / การจัดงาน 3 ธ.ค. 51
ได้สำนักงานใหญ่ ณ วัดศาลาลอย / ท่านสมทบ 4 ตำบล 4,000 บาท
3 ต.ค.51 เวทีสร้างความเข้าใจ วัดแสงบูรพา ต.สวาย คณะทำงาน
แกนนำชุมชน 50 คน 4,000 ได้เผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร องค์ความรู้สู่ชุมชน
5 ต.ค. 51 เวทีสร้างความเข้าใจ อบต.นาบัว คณะทำงาน
แกนนำชุมชน 200 คน 3,300 ได้เผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร องค์ความรู้สู่ชุมชน เตรียมการจัดตั้ง
6 ต.ค. 51 ประชุมพระสงฆ์ วัดศาลาลอย คณะทำงาน
พระสงฆ์ 8 รูป 12,820 ได้แผนงานเบื้องต้น เริ่มขยับเครือข่ายพระสงฆ์
8 ต.ค. 51 ขยายกองทุนสวัสดิการ ร.ร. มหิธร กลุ่มสตรี 50 คน ----- ได้ทำความเข้าใจหลักคิด เกิดการปรับเปลี่ยนกองทุนเดิมเป็นกองทุนวันละบาท
8 ต.ค. 51 แก้ปัญหากองทุน ต.ท่าตูม พิญชนันท์ ----- ให้ปรับปรุงระเบียบ คณะกรรมการ และที่ตั้งกองทุน
15 ต.ค. 51 ต.สำโรงศึกษาดูงาน ต.ทุ่งมน และต.โคกยาง แกนนำ 16 คน ----- ต.สำโรงได้งบประมาณจากกองทุนสวัสดิการสังคม ศึกษาดูงานและการจัดตั้งกองทุน ตกลงจัดตั้งและสามารถจักตั้งคณะกรรมการได้
ต.ค. 51 โอนงบ 60,000 - เข้าบัญชีจังหวัด กรุงไทย สาขา ถนนหลักเมือง พอช. -------- วางแผนงานได้ต่อเนื่อง
ต.ค. 51 กองทุนหมู่บ้าน อ.ท่าตูม ศึกษาดูงาน ต.กาบเชิง คณะกรรมการ ต.แนงมุด และ ผู้ศึกษาดูงาน 200 คน ----- กองทุนหมู่บ้านทุกตำบล ใน อ.ท่าตูม ได้งบประมาณจากธนาคารออมสิน ศึกษาดูงานสถาบันการเงิน และกองบุญคุณธรรมฯที่ ต.แนงมุด
23 ต.ค. 51 เวทีสร้างความเข้าใจ เด็กรักป่า ต.สำโรง แกนนำ ผู้นำตำบล 80 คน กองทุนสวัสดิการสังคม ได้ขบวนทำงานที่ชัดเจน เกิดความร่วมมือจากทุกภาคส่วนของตำบล
23 ต.ค. 51 พิมพ์ซองผ้าป่า โรงพิมพ์ที่สุรินทร์ ---- พิมพ์ฎีกาผ้าป่ากองทุนสวัสดิการผู้นำ 10,000 ซอง จำนวน 25,000 บาท
24 ต.ค. 51 จัดทำเสื้อทีมงานจังหวัด 50 ตัว สุรินทร์ คณะทำงานจังหวัด 17,500 ได้เสื้อทีมจำนวน 30 ตัว มอบคณะทำงาน เตรียมจัดงาน 3 ธ.ค. 51
25 ต.ค. 51 จัดตั้งคณะกรรมการตำบล ต.นาบัว คณะทำงาน 6 คน แกนนำตำบล 25 คน 5,400 ได้คณะกรรมการกองบุญตำบล
26 ต.ค. 51 ประชุมขบวนจังหวัด บ.แสงตะวัน คณะทำงานขบวนจังหวัด 10 คน พอช....... ได้สรุปบทเรียนขบวนจังหวัดทุกประเด็น เกิดการเรียนรู้เท่าทันกัน เกิดศักยภาพของขบวนจังหวัด และ เตรียมการประชุมสวัสดิการวันที่ 28 ต.ค. 51 ได้กรรมการถือบัญชี “สวัสดิการผู้นำชุมชนจังหวัดสุรินทร์”
28 ต.ค. 51 ขบวนสวัสดิการ จังหวัด วัดศาลาลอย 90 คน 32,912 เพิ่มศักยภาพวิทยากรกระบวนการ แบ่งกลุ่มระดมความคิดเห็น แจกเสื้อ/แจกซองผ้าป่าผู้นำเป็นประกาศตัวตนของขบวนสวัสดิการ จ. สุรินทร์
29 ต.ค. 51 เวทีทำความเข้าใจ ต.เมืองแก ทุกตำบลในอำเภอท่าตูม กองทุนสวัสดิการสังคม ทุกตำบลในอำเภอท่าตูมเข้ารับฟัง รับรู้ / พจม สุรินทร์ร่วมเวที
30 ต.ค. 51 ประชุมขบวนจังหวัด สำนักงานใหม่ข้างวัฒนธรรมจังหวัด 15 คน พอช........3,000 จัดระบบสำนักงาน จัดทำป้ายประชาสัมพันธ์ 10 ป้าย ติดตั้งในเทศบาลเมือง และงานมหกรรมสุรินทร์สร้างสุข
25-29 พ.ย. 51 จัดทำสื่อเตรียมจัดงานมหกรรมสุรินทร์สร้างสุข 2,530 ได้สื่อเพื่อจัดนิทรรศการ และ แจกประชาสัมพันธ์ในงานมหกรรมสุรินทร์สร้างสุข 1-5 ธันวาคม 2551
1-5 ธ.ค. 51 ร่วมจัดงานมหกรรมสุรินทร์สร้างสุข หน้า อบจ.สุรินทร์ 16,470 ได้ร่วมขบวนจังหวัดจัดงานมหกรรมและเผยแพร่ประเด็นสวัสดิการชุมชน ได้นำเสนอประเด็นสวัสดิการต่อผู้ว่าราชการจังหวัด
10 ธ.ค. 51 ร่วมประชุมกับคณะกรรมการตำบล ต.สำโรง อ.เมือง คณะกรรมการ และผู้นำชุมชน 30 คน ----- เป็นที่ปรึกษาในการเพื่อคณะกรรมการและขยายจำนวนสมาชิกกองบุญฯ ตำบลสำโรง
มอบกองทุนของเจ้าคณะจังหวัดสุรินทร์ ตำบลละ ๑,๐๐๐ บาท แก่ ตำบลสำโรง และตำบลปราสาททนง
11 ธ.ค. 51 เยี่ยมพื้นที่ต้นแบบและถอดองค์ความรู้ ต.แนงมุด พื้นที่ 15 คน
ทีมงาน 3 คน พอช. เลขาฯภาค ( ก้อ) และกรรมการภาค ( นิรันดร์) ถอดองค์ความรู้กองบุญคุณธรรมฯ ต.แนงมุด เพื่อเป็นพื้นที่ต้นแบบ นำเสนอระดับประเทศ เพื่อเป็นต้นแบบ และตัวแทน 1 ใน 2 ของภาคอีสาน
12 ธ.ค. 51 รวมจ่าย จำนวน 183,264 บาท คงเหลือ 16,736 บาท
ยุทธศาสตร์การพัฒนาสังคมจังหวัดสุรินทร์ ( พมจ.สุรินทร์) จากกองทุนส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคม
วิสัยทัศน์ : สังคมดี คนมีศักยภาพ ชีวิตอยู่เย็นเป็นสุขอย่างยั่งยืน ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง ภายในปี ๒๕๕๔
พันธกิจที่ ๑ เสริมสร้างความมั่นคงของชีวิตและสังคม ( ปี ๒๕๕๒)
๑.๑ สร้างเสริมและพัฒนาครอบครัวเข้มแข็ง (๑๑ โครงการ)
๑.๒ สร้างเสริมและพัฒนาระบบสวัสดิการสังคม ( ๕ โครงการ)
(๑) โครงการเสริมสร้างความรู้การจัดทำแผนสวัสดิการชุมชน
(๒) สนับสนุน/บูรณาการจัดทำแผนสวัสดิการชุมชน
(๓) ส่งเสริมการจัดตั้งกองทุนสวัสดิการชุมชน (สัจจะวันละบาท)
(๔) บูรณาการการจัดทำแผนสวัสดิการทุกภาคส่วน
(๕) ถอดบทเรียน/เวทีแลกเปลี่ยนประสบการณ์งานสวัสดิการชุมชน
๑.๓ เสริมสร้างและพัฒนาเครือข่ายด้านสังคม (๔ โครงการ)
วิธีการ รูปแบบขยายพื้นที่ทำอย่างไร
- กระจายบทบาทแก่คณะกรรมการจังหวัดและแกนนำในการทำงานขยายพื้นที่สวัสดิการใหม่ ๆ /เพิ่มศักยภาพคณะกรรมการ ฝึกฝนความสามารถในการทำงานในพื้นที่ตำบลใกล้เคียง โดยมีค่าใช้จ่ายพื้นที่ตำบลละ 1,000 – 2,000 บาท ดังปรากฏตามข้อมูลการบันทึกการทำงานขับเคลื่อนนั้น
- ระหว่าง 20 – 30 ตุลาคม 2551 กองทุนสวัสดิการชุมชนตำบลเมืองแก โดยการผ่านงบประมาณผ่านสถานีอนามัยตำบลเมืองแก ได้รับงบจากกองทุนส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคม จำนวน 44,300 บาท ทำกิจกรรมโครงการขยายเครือข่ายกองทุนสวัสดิการชุมชน(สัจจะวันละบาท) แก่ตำบลใกล้เคียงในอำเภอท่าตูม
-ระหว่าง ตุลาคม 2551 – กุมภาพันธ์ 2552 อบต.สำโรง โดย กลุ่มเด็กรักป่า ได้รับงบจากกองทุนส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคม จำนวน 134,925 บาท ทำกิจกรรมส่งเสริมการจัดตั้งกองทุนสวัสดิการชุมชน(สัจจะวันละบาท) ในพื้นที่ 15 หมู่บ้าน
กิจกรรมที่ใช้ขับเคลื่อนงาน
๑. ประชุมคณะกรรมการจังหวัด
๒. ประชุมแกนนำตำบลเพื่อขยายพื้นที่ใหม่ ประชุมร่วมกันระดับจังหวัด
๓. ประชุมติดตามผลการดำเนินงานพื้นที่ตำบล ระดับจังหวัด
๔. จัดเวทีขยายความคิดและจัดตั้งกองทุน ระดับอำเภอ / ระดับตำบล/ระดับหมู่บ้าน
๕. จัดเวทีควบคู่กับสภาองค์กรชุมชนตำบล
๖. ร่วมจัดงานมหกรรมสุรินทร์สร้างสุข 1-5 ธ.ค. 51
๗. ประชาสัมพันธ์/ติดตามผล ในเวทีโครงการวัดปลอดเหล้า / สภาองค์กรชุมชนตำบล/ กลไกจังหวัด
๘. โครงการของกองทุนส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมจังหวัด หรือ กิจกรรม พมจ.
๙. โทรศัพท์ติดตามความคืบหน้า
๑๐. เผยแพร่ข้อมูลผ่านอินเตอร์เน็ต
๑๑. จัดทอดผ้าป่าสามัคคี เพื่อประชาสัมพันธ์
๑๒. จัดตั้งกองทุนสวัสดิการผู้นำชุมชน
๑๓. ส่งเสริมการจัดเป็นศูนย์การเรียนรู้สวัสดิการชุมชน
ผลที่เกิดขึ้น ได้พื้นที่กี่ตำบล สนับสนุนกี่ตำบล มีตำบลอะไรบ้าง อำเภออะไร
พื้นที่ศักยภาพกองบุญคุณธรรมเพื่อจัดสวัสดิการชุมชนตำบล….. ในจังหวัดสุรินทร์ ปี ๒๕๕๑ จำนวน 40 ตำบล สนับสนุนทั้ง 40 ตำบล
อ. เมือง (5)
เทศบาลเมืองสุรินทร์ ตำบลนอกเมือง ตำบลตระแสง
ตำบลนาบัว ตำบลสำโรง
อ. ปราสาท ( 8)
ตำบลโคกยาง ตำบลทุ่งมน ตำบลสมุด
ตำบลปราสาททะนง ตำบลบ้านไทร ตำบลไพล
ตำบลทมอ ตำบลตานี
อ. เขวาสินริทร์ (1)
ตำบลเขวาสินรินทร์
อ.ท่าตูม (4)
ตำบลเมืองแก ตำบลทุ่งกุลา ตำบลท่าตูม
ตำบลบะ
อ. จอมพระ (3)
ตำบลเมืองลีง ตำบลลุ่มระวี ตำบลจอมพระ
อ.รัตนบุรี (2)
ตำบลไผ่ ตำบลยางสว่าง
อ.สนม (1)
ตำบลหัวงัว
อ.ศีขรภูมิ (1)
ตำบลระแงง
อ.สังขะ ( 3)
ตำบลขอนแตก ตำบลทับทัน ตำบลกระเทียม
อ.ศรีณรงค์ ( 4)
ตำบลตรวจ ตำบลแจนแวน ตำบลหนองแวง
ตำบลศรีสุข
อ. ลำดวน (2)
ตำบลลำดวน ตำบลโชคเหนือ
อ.กาบเชิง ( 6)
ตำบลแนงมุด ตำบลคูตัน ตำบลโคกตะเคียน
ตำบลกาบเชิง ตำบลด่าน ตำบลตะเคียน
ข้อดีที่ค้นพบในขบวนสวัสดิการชุมชนจังหวัดสุรินทร์
๑. สมาชิก คณะทำงานหรือคณะกรรมการ กองบุญคุณเพื่อจัดสวัสดิการชุมชนตำบล ที่ได้ดำเนินการมาแล้วทุกตำบล เกิดความรัก ความสามัคคี มีการทำงานเชื่อมโยง บูรณาการกับประเด็นงานอื่น ๆ หรือ กลุ่มคนอื่น ๆ ทั้งในตำบลและนอกตำบล
๒. คณะทำงานระดับตำบล สามารถจัดทำสื่อ เช่น เสื้อทีม ป้ายบอร์ด นิทรรศการ แผ่นพับ เพื่อประชาสัมพันธ์องค์กรตนเอง และ เผยแพร่ข้อมูลองค์ความรู้ได้
๓. คณะทำงานระดับตำบล มีภาวะความเป็นผู้นำ ทำงานด้วยจิตอาสา มีจิตเมตตา กรุณา เสียสละ อดทน สามัคคี ก่อเกิดสังคมคุณธรรม ที่มีประเพณีวัฒนธรรมที่ที่พึงประสงค์อย่างเข้มแข็ง
๔. คณะทำงานระดับตำบลระดับแกนนำทุกคน มีความชัดเจนในหลักคิด เรื่อง สวัสดิการชุมชน และสามารถถ่ายทอดหลักคิด องค์ความรู้ ที่เป็นประสบการณ์ตรง ให้กับกลุ่มเป้าหมาย/ผู้สนใจทั่วไปได้อย่างดี
๕. สวัสดิการชุมชน เป็นเครื่องมือสำคัญในการส่งเสริมและพัฒนา คน ผู้นำ ชุมชน ที่ประกอบด้วย เด็ก เยาวชน ชาวบ้าน พระสงฆ์ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ส.อบต. อสม. กรรมการหมู่บ้าน กรรมการหมู่บ้าน ภูมิปัญญา ผู้นำธรรมชาติ หรือ องค์กร หน่วยงาน บ้าน วัด โรงเรียน องค์การบริหารส่วนตำบล สถานอนามัย สภาองค์กรชุมชนตำบล มีส่วนร่วมในการยกระดับจิตใจซึ่งกันและกันทั้งตำบล เกิดความสามัคคี และทำงานร่วมกันอย่างมีความสุข
๖. การดำเนินการสวัสดิการชุมชน คณะกรรมการจะมีการปฏิบัติตนให้ชุมชนพิสูจน์จนเกิดการศรัทธาของชุมชนอย่างชัดเจน มีการกระจายบทบาทความภาคภูมิใจร่วมกัน ทำงานเป็นเครือข่าย และกลุ่มคนจำนวนมาก เกิดพลังทางชุมชนได้ง่าย
๗. สวัสดิการชุมชน ก่อเกิดการทำงานแบบบูรณาการ คน แนวคิด ประเพณีวัฒนธรรม องค์กร ในพื้นที่ตำบลอย่างเป็นรูปธรรม
๘. การจัดสวัสดิการชุมชน สามารถจัดสวัสดิการแก่สมาชิกและชุมชนได้อย่างหลากหลาย โดยมี “เงินเป็นเครื่องมือ” ในการจัดสวัสดิการชุมชน
ปัญหาอุปสรรคในการขับเคลื่อนงาน
ข้อด้อย ข้อจำกัด อุปสรรค ในขบวนสวัสดิการชุมชนในปัจจุบันในจังหวัดสุรินทร์
๑. สวัสดิการชุมชน ( สวัสดิการวันละบาท) เป็นนวัตกรรมใหม่ และประเด็นงานใหม่ที่เริ่มเข้าสู่สังคมจังหวัดสุรินทร์ เมื่อประมาณ ๑ ปีที่ผ่านมาเท่านั้น
๒. มีพื้นที่ตำบลที่ดำเนินการแล้วยังน้อยในจังหวัด และแต่ละตำบลที่ดำเนินการแล้วยังไม่ครอบคลุมพื้นที่ กลุ่มคน ทุกวัย หรือ ยังมีสัดส่วนสมาชิกในตำบลจำนวนน้อยอยู่
๓. กระบวนการเรียนรู้หลักคิดสำคัญ และข้อมูลองค์ความรู้ เรื่อง สวัสดิการชุมชน ยังไม่เป็นที่แพร่หลาย หรือการเรียนรู้ยังไม่เท่าทันกันในกลุ่มคน องค์กร หน่วยงาน ทั้งที่เกี่ยวข้อง และภาคีพัฒนาสังคม
๔. ในแต่ละพื้นที่ตำบลล้วนมีกองทุนต่าง ๆ ที่จัดสวัสดิการอยู่แล้ว จึงมีแรงจูงใจน้อยที่จะให้ผู้นำชุมชนต่าง ๆ ให้ความสนใจในจะเรียนรู้ความเป็นนวัตกรรมนี้ หรือยังไม่สามารถจะนำวิธีการ แนวทาง หลักการ หลักคิดไปปฏิบัติการได้อย่างง่ายในชุมชน
๕. เป็นประเด็นงานที่มีแนวทางไปในด้านคุณธรรมมากว่าเชิงอำนาจหรือบุญคุณ “ ให้อย่างมีคุณค่า รับอย่างมีศักดิ์” “เงินเป็นเพียงเครื่องมือ” จึงเป็นงานที่ต้องอาศัยกลุ่มผู้นำที่มีจิตศรัทธา มีความเสียสละ มีจิตสาธารณะ จิตอาสา มีคุณธรรมสูง หรือมีกำลังใจในการนำที่สูง ในการนำพาชุมชนสู่การจัดตั้งและดำเนินงาน
๖. เป็นประเด็นงานที่จะต้องมีความต่อเนื่องและยั่งยืนในชุมชน ประกอบกับบทเรียนทางสังคมในอดีตที่มีกลุ่ม องค์กร งานลักษณะบางแห่งนี้ล้มเลิก หรือถูกฉ้อโกง เป็นข่าวลบ การตัดสินใจนำของผู้นำหรือการตัดสินใจตามของชาวบ้าน จึงต้องใช้เวลาในการตัดสินใจนาน
๗. เป็นประเด็นงานที่ต้องดำเนินการครอบคลุมพื้นที่ทั้งตำบล “ใช้ตำบลเป็นตัวตั้ง” และต้องอาศัยความร่วมมือของสมาชิกจำนวนมากในตำบล การตัดสินใจดำเนินงานจึงต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในตำบล
๘. เป็นประเด็นงานที่ต้องอาศัยการมีส่วนร่วมจากสมาชิกจำนวนมากในตำบล คือ ทุกเพศ ทุกวัย ทุกฐานะ ที่สมาชิกต้องจ่ายเงินสมทบสร้างสวัสดิการชุมชนปีละ ๓๖๕ บาท “ออมเพื่อให้” จึงต้องอาศัยความเข้าใจ ความเสียสละ และความศรัทธา ความไว้วางใจกันสูง และชุมชนต้องมีความสามัคคี ไม่มีความขัดแย้งทางสังคมและการเมือง ถ้าจะให้เกิด “สังคมสวัสดิการ” สวัสดิการชุมชนต้องเป็นวิถีชีวิตวัฒนธรรมใหม่ของชุมชนที่เข้มข้น เป็นธรรม เสมอภาค จำต้องอาศัยการแลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างจริงจัง ต่อเนื่อง มีส่วนร่วมอย่างทั่วถึงและมีความสุข
๙. เป็นกิจกรรมที่ต้องบูรณาการกับความสุข ความพึงพอใจอย่างมาก โดยใช้เงินเป็นเพียงเครื่องมือในเบื้องต้นเท่านั้น คือ ต้องทำงานกับนามธรรมยิ่งกว่าการให้สวัสดิการที่เป็นเงินเท่านั้น จึงต้องอาศัยผู้นำองค์กรที่มีความสามารถ มีความคิดสร้างสรรค์เชิงคุณธรรมสูง
๑๐. ผู้นำที่ฝักใฝ่อำนาจจะไม่ถนัดนักหรือไม่สามารถจะดำเนินงานสวัสดิการชุมชนได้ ต้องอาศัยผู้นำที่ฝักใฝ่คุณธรรมจึงเหมาะแก่การดำเนินงานสวัสดิการชุมชน
๑๑. ผู้นำชุมชนที่ไม่มีตำแหน่งทางการ จะถูกเพ่งเล็งจากผู้นำที่ตำแหน่งทางการ เมื่อคุณธรรมหรือความคิดเห็นไม่เสมอกัน อันเป็นปรากฏการณ์ความหวาดระแวงเชิงการเมือง
๑๒. สวัสดิการชุมชน ยังไม่เป็นนโยบายสาธารณะเต็มพื้นที่จังหวัดสุรินทร์
ข้อควรระวังในการขับเคลื่อนงานสวัสดิการ
๑. กลุ่มคน/องค์กร ที่มีประวัติเสียหายทางการเงินมาก่อน
๒. ผู้นำที่ไม่มีประสบการณ์การทำงานเพื่อสังคมมาก่อน
๓. คนขาดคุณธรรม ใจไม่กว้างพอ
หลักเกณฑ์การเข้าร่วมเป็นสมาชิกกองทุนจังหวัด=
เกณฑ์การพิจารณาสมทบกองบุญคุณธรรมเพื่อจัดสวัสดิการชุมชน
ระดับตำบล ของ จ.สุรินทร์ จำนวน 55,000 บาท
(1) เป็นตำบลที่คณะทำงานสวัสดิการชุมชนท้องถิ่นระดับจังหวัด รับทราบการดำเนินการ เป็นกลุ่มองค์กรที่มีการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง มีพื้นที่ต้นแบบช่วยขยายผล หรือเป็นที่ปรึกษา และเป็นตำบลที่ช่วยพัฒนาความเข้มแข็งให้กับพื้นที่ขยายผลใกล้เคียง
(2) เกณฑ์ในการพิจารณาสมทบกองบุญคุณธรรมเพื่อจัดสวัสดิการชุมชน ระดับตำบลมีแนวทางสำคัญ ดังนี้
- มีฐานการดำเนินการสวัสดิการชุมชน เช่น กลุ่มผู้สูงอายุ ออมสัจจะ อสม. เป็นต้น มาแล้วอย่างมั่นคง ไม่มีประวัติเสียหายด้านด้านเงิน และเริ่มดำเนิน การสวัสดิการชุมชน (วันละ 1 บาท) โดยการเก็บเงินออมย้อนหลังจากสมาชิก ไม่ต่ำกว่า 6 เดือน แล้ว
- มีสมาชิกสวัสดิการชุมชนไม่ต่ำกว่า 100 รวมทั้งเยาวชน คนชรา ผู้ด้อยโอกาส คนพิการ
- มีระเบียบข้อบังคับของกองบุญคุณธรรมเพื่อจัดสวัสดิการชุมชน แล้ว
- มีคณะกรรมกองบุญคุณธรรมเพื่อจัดสวัสดิการชุมชน แล้ว
- มีกองทุน หรือ มีเงินฝากไว้ที่ธนาคาร และ มีบัญชีธนาคาร ชื่อ กองบุญคุณธรรมเพื่อจัดสวัสดิการชุมชนตำบล… แล้ว
- มีการดำเนินการจัดสวัสดิการชุมชนที่หลากหลาย เช่น การจัดการป่า น้ำ เยาวชน สังคม สิ่งแวดล้อม
- มีการจัดสวัสดิการที่ดูแลสมาชิกคนในชุมชนแบบครบวงจรชีวิต เกิด แก่ เจ็บ ตาย
- มีการสนับสนุนจากภาคี อบต. เทศบาล ทั้งในรูปแบบงบประมาณ ให้ใช้สถานที่ ร่วมดำเนินงาน
- คณะกรรมการมีความพร้อมและสมัครใจ สามารถที่ขยายผลกับตำบลอื่น ๆ ได้