พัฒนาการความคิด ช่วงปี 2552

จาก wiki.surinsanghasociety
ไปยังการนำทาง ไปยังการค้นหา

มกราคม ๒๕๕๒

  • มกราคม ๒๕๕๒ เริ่มเขียนผังเครือญาติในพื้นที่ตำบลทุ่งมน

มีนาคม ๒๕๕๒

  • 16 มีนาคม 2552 เก็บเนื้อความ ที่พระมหาวีระ กิตฺติวณฺโณ ปาฐกถาในงานประชุมสัมมนาปฏิบัติการสวัสดิการชุมชนท้องถิ่น ภาคอีสาน

วันที่ 16 มีนาคม 2552 ณ โรงแรมตักศิลา มหาสารคาม เวลา 09.00 – 09.30 น.
เจริญพรท่านกรรมการสวัสดิการชุมชนท้องถิ่นภาคอีสานทุกท่าน ในช่วงเริ่มต้นการประชุมวันนี้ อาตมารับหน้าที่ชวนคิด ชวนกรุยความคิดก่อน ตามกำหนดเวลา คงจะใช้เวลาไม่เกิน 30 นาที เพราะความสามารถมีเท่านั้น พอถึงเวลาก็จะหมดความคิดทันที ฝึกมาอย่างนี้เอง ตรงเวลา
เป็นไปตามปกติ ก่อนที่จะมีการระดมความคิด ระดมสมองกัน ก็จะต้องมีการนำคิด นำพูด ต้องกระตุ้นให้เกิดการฉุกคิดก่อน สร้างอารมณ์ร่วมกัน ถ้าทางการศึกษาก็คือการนำสู่บทเรียนนั่นเอง อาตมาก็จะนำข้อมูล มุมมองของอาตมภาพมาเล่า มาคุยเพื่อให้ทุกท่านเกิดคำถามในใจก่อนที่จะระดมความคิดความเห็นกันในวันนี้
สวัสดิการชุมชน หรือ สวัสดิการวันละบาท คือการช่วยเหลือซึ่งกันและกันเป็นไปตามวัฒนธรรมของชาวบ้านเราอยู่แล้ว การดูแลช่วยเหลือกันนี้มีมานานเป็นร้อยเป็นพันปีมาแล้ว ในอีตดคนอยู่ร่วมกันในชุมชนแบบใกล้ชิดสนิทสนมแน่นแฟ้นกันมาก เรียกว่าทุกคนจะมีการช่วยเหลือดูแลกันอย่างจริงจัง คนจะต้องพึ่งพาอาศัยกันในการเป็นอยู่เพราะภาระในการดำเนินชีวิตไม่สามารถจะแก้ปัญหาเฉพาะตนได้ งานหลายอย่างทำคนเดียวไม่ได้ ต้องอาศัยแรง อาศัยความคิด อาศัยความรู้สึกของเพื่อนบ้านด้วย ชุมชนจะมีการลงแรงช่วยกันสร้างบ้าน สร้างยุ้ง ขุดบ่อน้ำ ทำถนน สร้างวัด สร้างโรงเรียน แต่ในปัจจุบัน คนมีจำนวนมากขึ้น มีความซับซ้อนมากขึ้น กิจกรรมในชุมชน หรืองานบุญงานบวช งานศพ การช่วยงานกันไม่ได้มีส่วนร่วมทุกคน ในหนึ่งครอบครัวก็มีหนึ่งคนที่มีบทบาทในการออกไปช่วยงานเพื่อนบ้าน ช่วยงานชุมชน สาธารณะ อีกหลายคนในครอบครัวจะไปแต่งานไร่งานนา เลี้ยงวัวเลี้ยงควาย ไม่ได้เข้าสังคมเลย ในชุมชนหมู่บ้านอาจมีเพียง 10-20 ครอบครัวที่ไปวัดเป็นประจำ ชอบช่วยกันทุกงาน หลายครอบครัวไปบ้างไม่ไปบ้าง ไม่ต่อเนื่อง ไม่สม่ำเสมอ สังคมเราจึงช่วยกันไม่เท่าเทียมกัน มีความเหลื่อมล้ำทางการมีส่วนร่วมทางสังคมอยู่มาก
การทำสวัสดิการวันละบาท เป็นการพัฒนาการ เป็นการต่อยอด ปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมเดิมให้ดีขึ้น ผู้คนมีส่วนร่วมกันมากขึ้นและเท่าเทียมกัน ทำทุกคนให้มีความเสมอภาคกัน ดึงนำคนทั้งชุมชนให้มีส่วนในการช่วยเหลือกันเหมือนเช่นในอดีตที่คนน้อยมีความสำคัญทุกคน ออมเพื่อให้ ให้อย่างมีศักดิ์ศรี รับอย่างมีคุณค่า เกลี่ยความสุข ความทุกข์ของกันและกันในชุมชน
ตามธรรมชาติของคนทำงานสวัสดิการชุมชน หรือ วันละบาทนี้ อาตมาเห็นว่า เป็นคนที่มีจิตใจเมตตา มีความรัก ความเห็นใจสังคม เป็นคนจิตสาธารณะสูง สามารถลดอัตตาตัวตนเองได้มาก คนลักษณะนี้ จะเป็นคนที่บูรณาการตนเองได้ดี คือ เข้าไปทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ทุกกลุ่ม ไม่ติดยึดกับองค์กรใดองค์กรหนึ่ง ไม่มีภาพลักษณ์องค์กรติดตัว คนสาธารณะเป็นคนของทุกองค์กรในชุมชน ทำงานทุกเรื่อง อาสางานทุกงาน เป็นธรรมชาติคนสวัสดิการ
ธรรมชาติของคนทำงานงานสวัสดิการชุมชน ประการที่ สอง คือ มีความคิดแบบบูรณาการ คนที่ทำงานได้ทุกเรื่อง เข้ากับทุกองค์กรได้ก็คือคนที่มีความคิดแบบไม่แยกส่วน มีการคิดไปทุกเรื่อง เห็นทุกเรื่องเกี่ยวข้องกัน เห็นคนทุกคนในชุมชนมีคุณค่า ทุกความคิดของคนมีความงดงาม อยากเข้าไปช่วยเหลือทุกคน ทุกความคิด ทุกองค์กร ไม่ยึดติดในความคิดของตนเอง เป็นนักประชาธิปไตย นี่เป็นธรรมชาติของคนทำสวัสดิการวันละบาท
แต่ในความเด่น เป็นธรรมชาติ ก็มีจุดอ่อนในจุดแข็ง หรือจุดแข็งทำให้เกิดจุดอ่อน 2 ประการ ด้วยกัน คือ การใช้ทุนเพื่อจัดสวัสดิการยังไม่หลากหลาย และ การประกาศตัวตนองค์กรสวัสดิการชุมชนให้เด่นชัดในสังคม เพราะว่า ในช่วงเริ่มต้นนี้ยังเป็นช่วงการเรียนรู้ร่วมกันของชุมชน ยังต้องระมัดระวังในการใช้ทุนที่สมาชิกนำมาออมเพื่อให้ ยังไม่กล้าที่จะใช้ทุนที่มีนำไปจัดสวัสดิการที่มากกว่าความจำเป็นพื้นฐาน เกิด แก่ เจ็บ ตาย หรือ นำไปใช้ประโยชน์สวัสดิการสาธารณะ มีความเกรงใจสมาชิกชาวบ้าน แต่ในอนาคตเมื่อทุกคนมีจิตใจสุขสบาย ใจกว้างขึ้น การจัดสวัสดิการที่มากกว่าจะเกิดแก่เจ็บตายก็จะได้รับความรู้สึกยินดีจากสมาชิกทุกคนเอง จะสามารถนำกองทุนไปจัดการกับสิ่งแวดล้อม และการแก้ปัญหาชุมชน ปัญหาสาธารณะได้
จุดอ่อนประการที่ สอง คือ การไม่ประกาศตัวตน ประกาศศักดิ์ศรีผลงานของสวัสดิการชุมชนอย่างเด่นชัด ที่จริงในจุดอ่อนนี้คือจุดแข็งต่างหาก สวัสดิการชุมชนไม่ควรทำงานแบบยกตัวข่มท่าน ควรทำงานให้กลมกลืนกับทุกคน ทุกองค์กร งานของภาคี คือ งานของเรา งานของเรา คือ งานของภาคี การที่จะให้สวัสดิการชุมชนไปได้ดีก็คือการมีส่วนร่วมของทุกภาคี ทุกองค์กร เมื่อทุกคนมีส่วนร่วมก็ไม่จำเป็นต้องทำตัวให้เด่นกว่าองค์กรหลักทางสังคมที่มีอยู่เดิมและเขาจำต้องมีตัวตนด้านผลงานทางราชการ ในเมื่อสวัสดิการชุมชนทำความสุขให้แก่ทุกคน ทำไมต้องประกาศตัวตนเองเล่า ทำไมต้องเก็บกักบทบาท ผลงาน ความดี ทำไมหยุดอยู่เพียงความคับแคบที่จับต้องได้ ผลงานที่ควรจะชัดเจนของสวัสดิการชุมชน คือ ภาพรวมของชุมชน ภาพรวมของความสงบสุขต่างหาก ทำเรื่องยากให้เกิดขึ้น ทำเรื่องที่กว้างขวางจับต้องยาก นั่นคือ สวัสดิการชุมชนเป็นวิถีวัฒนธรรมชุมชน เป็นของทุกคน ทุกกลุ่ม ทุกตำแหน่ง ทุกความคิด ทุกความรู้สึก ทุกฐานะ ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน อยู่ร่วม พึ่งพาอาศัยกัน
คนทำงานสวัสดิการชุมชน จะสามารถมากในการเชื่อมโยงงานกับประเด็นอื่น ๆ งานอื่น ๆ ในชุมชนโดยนิสัยของคน มีความสามารถในการประสานภาคีด้วย งานสวัสดิการชุมชนเป็นงานที่มีธรรมชาติก่อให้เกิดคุณงามความดีง่าย
การมาประชุมกันในวันนี้ ก็เป็นโอกาสที่ให้ทุกท่าน 19 จังหวัดได้ช่วยกันคิดช่วยกันแลกเปลี่ยนข้อมูลการทำสวัสดิการชุมชน เกิดแรงบันดาลใจ ปลุกเร้ากำลังใจกันไปขยายสวัสดิการชุมชนต่อไป ในระยะที่ผ่านมาแต่ละท่านอาจจะมีประสบการณ์ใหม่ มีความคิดที่ปรับเปลี่ยนจากเดิมก็ได้เพราะการทำงานช่วยให้เกิดความคิดใหม่ ๆ เสมอ ถ้าได้เอามาแลกเปลี่ยนกันก็จะเกิดความเข้มแข็งของการทำงาน อย่างที่สุรินทร์ เพิ่งทำงานมาได้ปีครึ่ง เริ่มแรกก็ได้รับฟังการบรรยายจากวิทยากรจาก จ.ร้อยเอ็ด ปลายปี 2549 หลายตำบลได้ข้อมูลในวันนั้นและเริ่มคิดเริ่มคุยกัน ผ่านไปนานจึงจัดตั้งกันได้ ตำบลโคกยางเป็นตำบลแรกในจังหวัดที่ทำสวัสดิการชุมชน ซึ่งเพิ่งในวันนั้นเริ่มยังไม่ครบ 6 เดือนเลย ตำบลทุ่งมนเริ่มเป็นตำบลที่ 2 ตำบลปราสาททนง เป็นตำบลที่ 3 ตำบลทุ่งมนและตำบลปราสาททนง ได้วิทยากรจาก ต.ปอภารไปช่วยเป็นวิทยากรเลย ต.สมุดตำบลที่ 4 นายกได้ข้อมูลจากเวที ปลายปี 2549 แล้วประกอบข้อมูลจากที่อื่นด้วย ต้องนำไปพูดคุยในที่ประชุมหลายครั้งทำความเชื่อกับผู้นำชุมชนเป็นปี จึงจัดตั้งขึ้นได้
แต่เดิมมีความคิดว่า การจัดตั้งสวัสดิการชุมชนน่าจะเป็นเรื่องง่าย ๆ แต่ตอนนี้เห็นว่าไม่ง่ายนัก ตอนแรก ๆ ที่ได้ขึ้นเพราะมีแกนนำที่มีความตั้งใจมีอุดมการณ์ กล้าหาญทางความคิด แต่ช่วงหลังอาจจะหมดคนแบบนี้ลงไปก็ได้ เพราะกว่าจะเกิดขึ้นแต่ละแห่งต้องใช้กระบวนการมากขึ้น ใช้ทุนมากขึ้น ให้การเรียนรู้ร่วมกันบ่อย จำนวนคนมากขึ้น ไปทุกแห่งก็จะเจอว่าชาวบ้านยังไม่มั่นใจกลัวล้ม เหมือนหลาย ๆ กองทุนที่ล้มกันมาแล้ว หรือ ในพื้นที่มีเรื่องกลุ่มต่าง ๆ ที่มีการจัดสวัสดิการในรูปแบบคล้ายกัน เช่น กลุ่มออมทรัพย์ กลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มฌาปนกิจ กลุ่มเหล่านนี้ก็จัดสวัสดิการอยู่แล้ว การจะทำวันละบาท จะเปลี่ยนแปลงของเก่าอย่างไร ของเก่าจะปรับตัวอย่างไร เป็นการเพิ่มภาระผู้คนไหม
ในการจัดตั้งกองทุนสวัสดิการชุมชนที่ยากอย่างนี้ ก็ดีไปอย่างหนึ่ง เพราะจะได้แกนนำที่มีความกล้าหาญ มีความอดทน มีความพยายามสูง ดีกว่าการบังคับจัดตั้ง การบังคับการจัดตั้งจะได้คนที่กลัวราชการมาทำงาน ทำงานด้วยความกลัวรัฐต่อว่า จึงขาดความเข้มแข็งทางความคิด ความรู้และปัญญา แต่แกนนำที่ทำงานสวัสดิการชุมชนด้วยจิตอาสานี้ คือ คนคุณภาพ มีข้อมูล มีการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ประมวลเหตุการณ์ทันต่อสังคมดี กล้าหาญทางจริยธรรม มีความบริสุทธิ์ใจ มีความมั่นคงทางอารมณ์มากขึ้น
จากประสบการณ์การทำงานในจังหวัดสุรินทร์ จึงมีความคิดใหม่ วิธีที่ใหม่ ๆ ที่จะต้องทำในอนาคต ซึ่งต่อยอดเชื่อมโยงจากวิธีการแต่ต้น เช่นว่า สุรินทร์จะมีการ
1. จัดประชุมประธานกองบุญคุณธรรมฯ ทุกตำบลที่จัดตั้งได้แล้ว และหลังจากที่ได้รับการสนับสนุนจาก พอช. จำนวน 55,000 บาท แล้ว ซึ่งมีกำลังใจ มีพลังความคิดมากขึ้นนี้ มาพูดคุยกันทั้ง 39 ตำบล เพื่อระดมความคิดเห็นและแนวทางการขับเคลื่อนงานต่อไป ในแนวเดิมที่ผลักดันเรื่องสวัสดิการชุมชนไว้ในแผนพัฒนา อบจ. 3 ปี นั้น ให้เป็นข้อบัญญัติ อบจ. ในปี 2553 ให้ได้ ด้วยการเข้าพบ สมาชิก อบจ. ทุกเขต พบนายก อบจ.
2 ให้กองบุญคุณธรรมฯ ที่จัดตั้งมาครบ 1 ปี แล้ว เข้าจดแจ้งเป็นองค์กรสวัสดิการชุมชน กับ พมจ.
3. ลงพื้นที่จัดประชุม หรือ ร่วมประชุมกับคณะกรรมการ หรือสมาชิก แต่ละตำบล หรือ เป็นกลุ่มโซน
4. ขยายพื้นที่ตำบลใหม่ ๆ ด้วยการประสานกับกลุ่ม หน่วยงาน อสม. สถานีอนามัย พระสงฆ์ วัด ผู้หญิง แกนนำที่มีจิตสาธารณะ มีประสบการณ์งานชุมชน ให้เป็นแกนในการก่อรูปคณะทำงานในตำบล
แนวทางการทำงานที่ชัด ๆ และมีพลัง ก็จะต้องนำมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันในวันนี้ ของให้ทุกท่านช่วยกันคิด ช่วยกันเขียน เพื่อขบวนสวัสดิการภาคอีสานของเรามีความก้าวหน้า นำสู่ความสุขของชุมชนทุกพื้นที่ต่อไป
ได้เวลา หมดความคิดพอดี เหลืออีก 2 นาที จะครบ 30 นาที ขอเจริญพร

เมษายน ๒๕๕๒

  • ๑๔ เมษายน ๒๕๕๒

เหตุการณ์ สุขภาพ พระมหาวีระ กิตฺติวณฺโณ ป่วย เดือน เมษายน ทุกปี

ปี ๒๕๕๒ ติดตามข่าว ดีสเตชั่น อยู่ดึก ตื่นดึก ตี ๕ เริ่มปลายมีนาคม เริ่มป่วย ต้นเมษายน ปีนี้ป่วยไม่หนักนัก
ปี ๒๕๕๑ เรียนรู้อินเตอร์เน็ต บางคืนโต้รุ่ง เริ่มกลางเมษายน ป่วยปลายเมษายน
ปี ๒๕๕๐ ร่วมเรียกร้อง บรรจุพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ เดินจากพุทธมณฑล – รัฐสภา ป่วยหนักมาก ปลายเมษายน
๑. ร่างกายอ่อนเพลีย
๒. พักผ่อนไม่เพียงพอ
๓. อากาศร้อน
๔. อากาศเย็น / ฝนตก
๕. ลืมห่มผ้า = ป่วย
ครั้งใดที่ป่วยหนัก เพราะละเลยการแก้ไขอาการป่วยแต่ต้น ๆ
สรุปการเรียนรู้สุขภาพ ๑๔ เมษายน ๒๕๕๒

มิถุนายน ๒๕๕๒

  • มิถุนายน ๒๕๕๒ เข้าเรียนมหาบัณฑิต ป.โท รุ่น ๑ ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตสุรินทร์
  • มิถุนายน ๒๕๕๒ ดำเนินโครงการเข้าพรรษานี้ ชวนพ่อแม่เลิกเหล้า โดย สำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า (สคล.) และ สสส. (มิถุนายน – ธันวาคม )

เงื่อนไขการเสนอโครงการ
๑. ผู้เสนอโครงการ ต้องเป็นคณะบุคคล หรือ องค์กร ในภาคประชาสังคม คณะสงฆ์ โรงเรียน สถานีอนามัย องค์กรภาครัฐอื่นๆ ภาคเอกชน และ องค์กรปกครองท้องถิ่น ทั้งนี้ เป็นกิจกรรมที่ต้องร่วมมือหลายฝ่ายไม่ดำเนินการแบบเดี่ยวๆ
๒.แนวคิดการรณรงค์ คือ “พรรษานี้ ชวนพ่อแม่เลิกเหล้า” ซึ่งผู้ที่จะชวนพ่อแม่เลิกเหล้า (เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด) คือ เด็ก โดยเฉพาะในวัยเรียนชั้นประถมศึกษา หรือ มัธยมศึกษาตอนต้น
๓.เนื้อหากิจกรรมต้องเน้นการรณรงค์อย่างสร้างสรรค์ ด้วยวิธีการที่น่าสนใจ มีความแตกต่าง และมีส่วนร่วมจากหลายฝ่าย หากมีการร่วมงบประมาณจากท้องถิ่นด้วยจะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ
๔.กิจกรรมบังคับที่ทุกโครงการต้องทำ มี 2 กิจกรรม คือ
๔.๑ พ่อ และ/หรือ แม่ต้นแบบ ที่ยินดีเริ่มต้นเลิกเหล้า โดยจัดทำประวัติการดื่ม แรงจูงใจที่อยากจะเลิก วิธีการที่พ่อแม่เลิก ผลที่ดีหลังจากเลิกดื่ม เป็นต้น
๔.๒ ลูกต้นแบบ ที่เข้าร่วมโครงการรณรงค์ โดยมีการสัมภาษณ์วิธีการที่จะชวนพ่อแม่เลิกเหล้า , ข้อดีที่พ่อแม่เลิกเหล้า เป็นต้น (มีตัวอย่างแบบฟอร์มแนบท้ายนี้)
กำหนดยุทธศาสตร์ ดังนี้
๑) ยุทธศาสตร์การเสริมสร้างและการพัฒนาศักยภาพเด็กและเยาวชนผ่านสภาเด็กและเยาวชนตำบลทุ่งมน ให้สอดคล้องกับโครงการเด็กดีวีสตาร์ผู้นำฟื้นฟูศีลธรรมโลก เป็นวิธีการที่ง่ายต่อการขยายผล บอกวิธีการดี ๆ สู่เด็กนักเรียนเยาวชนในโรงเรียนต่าง ๆ ทั่วจังหวัดสุรินทร์
๒) ยุทธศาสตร์เชื่อมโครงการและการเชื่อมยุทธศาสตร์คนสุรินทร์ไม่กินสุรา โดยการประสานภาคีความร่วมมือในตำบล ตำบลข้างเคียง ตำบลภาคี และองค์กรภาคีระดับจังหวัด
๓) ยุทธศาสตร์รณรงค์ เผยแพร่ข่าวสารสู่สาธารณะ ผลักดันนโยบายสาธารณะ “สังคมศีลธรรม”
๔ ) ยุทธศาสตร์ส่งเสริมสถาบันครอบครัว (ครอบครัวอบอุ่น) และ ชุมชนอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข
๕) ยุทธศาสตร์การจัดการองค์ความรู้ จัดเก็บและเผยแพร่ชุดความรู้ เป็นพื้นฐานข้อมูลสู่การเรียนรู้ระดับครอบครัว โรงเรียน และเวทีมหกรรมสุรินทร์สร้างสุข
การดำเนินกิจกรรม
๑) จัดการประชุมสภาเด็กและเยาวชนตำบลทุ่งมนพร้อมภาคีความร่วมมือในตำบลและตำบลภาคี ปลายเดือนมิถุนายน ๒๕๕๒ เพื่อทำความเข้าใจต่อโครงการ และระดมความคิดเห็นเพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วม ร่วมคิด ร่วมวางแผน ร่วมดำเนินงาน ร่วมรับประโยชน์ โดยจัดประชุม ๑ วัน ครั้งแรก ณ องค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งมน มีคณะกรรมการสภาเด็กฯ จำนวน ๒๐ คน เยาวชนตำบลสมุด, ปรือ, ตระแสง อีก ๒๐ คน เชิญผู้บริหาร อบต. ๓ ตำบล ( ทุ่งมน,สมุด,ตระแสง) โรงเรียน ๖ โรง สถานีอนามัย ๓ แห่ง ( ทุ่งมน,สมุด,ตระแสง) ผู้นำชุมชน ๒๗ หมู่บ้าน ที่ปรึกษาสภาเด็กฯ เจ้าอาวาสวัด รวมทั้งสิ้น ๑๐๐ คน ขอการสมทบสถานที่ประชุม และงบประมาณค่าอาหารจาก อบต.ทุ่งมน , อบต.สมุด , อบต.ตระแสง ,ชุมชน สมทบค่าเดินทางจากชุมชน/องค์กร/บุคคล
๒) จัดกิจกรรมรณรงค์เปิดตัวโครงการในตัวจังหวัด มีการจัดงาน ๑ วัน ช่วงวันเข้าพรรษา ก่อนการจัดงานก็ให้เด็กและเยาวชนได้ประสานเด็กและเยาวชนกลุ่มเป้าหมายที่จะร่วมทำกิจกรรมชวนพ่อแม่ญาติเลิกเหล้า จำนวน ๒๐๐ คน จาก ๑๐๐-๒๐๐ ครอบครัว (บางครอบครัวอาจมีคนชวน ๒คน หรืออาจมีมีผู้ถูกชวน ๒ คน) กลุ่มเป้าหมาย เด็กเยาวชน ตำบลทุ่งมน ๑๒๐ คน ตำบลสมุด ๓๐ คน ตำบลปรือ ๒๐ คน ตำบลตระแสง ๓๐ คน ให้มีการจัดทำป้ายผ้า /แผ่นพับ/เสื้อ เพื่อการรณรงค์ และทำการประสานงานต่าง ๆ หาทุนจากภาคีอื่นสมทบ โดยมีที่ปรึกษาร่วมทำงานอย่างใกล้ชิด ในการจัดกิจกรรมครั้งนี้จะประสานภาคีโรงเรียนอื่น ๆ องค์กรนักศึกษามาร่วมกิจกรรมโดยให้แต่ละหน่วยงาน/องค์กรจัดงานด้วยทุนของตนเอง
๓) ดำเนินกิจกรรมชวนพ่อแม่ และญาติ เลิกเหล้า โดยผู้ชวน ๑ คน ไปชวนพ่อแม่หรือญาติ อย่างน้อย ๓ คน ให้ผู้ถูกชวนสมัครใจเลิกเหล้าเข้าพรรษา ๓ ระดับ ( ตลอดไป, ตลอดพรรษา, เป็นจำนวนเดือนหรือวัน) ผู้ชวน ๒๐๐ คน จะมีผู้ถูกชวนรวมอย่างน้อย ๖๐๐ คน สูงสุด ๑,๐๐๐ คน กำหนดให้กรอกเอกสาร ๒ ชุด ชุดที่ ๑ ติดไว้หน้าบ้าน ชุดที่ ๒ เก็บรวมไว้ที่โครงการ ดำเนินการช่วงต้น ๆ วันเข้าพรรษา ให้มีผู้ติดตามเยี่ยมเยียนบ้าน ให้กำลังใจ สอบถาม เก็บภาพ เก็บข้อมูล และชวนพูดคุยเพื่อสร้างความสบายใจแก่ผู้เลิกเหล้า ดำเนินการตลอดพรรษา
๔) จัดเวทีการเรียนรู้ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ ให้กำลังใจกันซึ่งกันและกันของคนเลิกเหล้า พร้อมบันทึกบทเรียน วิธีการชวน และเสริมกำลังใจเด็ก เยาวชนที่ดำเนินการชวนพ่อแม่เลิกเหล้า พร้อมกับการจัดกิจกรรมแซนโฎนตาปลอดเหล้า ดำเนินกิจกรรมเป็น ๖ เวที ตามจำนวน 6 โรงเรียน ( ๒ ตำบล ตำบลทุ่งมน,ตำบลตระแสง) ผู้ร่วมเวที ๆ ละ ๕๐ คนเป็นหลัก เปิดโอกาสให้นักเรียนในโรงเรียนนั้น ๆ ร่วมสังเกตการณ์ ช่วงเวลาจัดกิจกรรมหลังวันเข้าพรรษา – ก่อนวันแซนโฎนตา ( ก.ค. – ก.ย. ๒๕๕๒ )
๕) จัดรวบรวมข้อมูลบุคคลเลิกเหล้า ข้อมูลวิธีการชวนเลิกเหล้า รูปภาพกิจกรรม ให้เป็นเล่ม ไว้เป็นเกียรติประวัติของครอบครัวและชุมชน จำนวน ๓๐๐ เล่ม เก็บไว้ในครัวเรือน มอบหน่วยงานภาคี และ จัดนิทรรศการในงานมหกรรมสุรินทร์สร้างสุข การจัดทำให้เป็นผลงานและความสามารถของเด็กและเยาวชน จัดทำให้เสร็จภายในเดือน ตุลาคม ๒๕๕๒
๖) จัดงานมหกรรมเชิดชูคนดีต้นแบบ ในพื้นที่ จัด ณ ตำบลทุ่งมน มอบหนังสือรวบเล่มและเกียรติบัตรครอบครัวเลิกเหล้า เดือน พฤศจิกายน ๒๕๕๒
๗) ร่วมงานมหกรรมสุรินทร์สร้างสุข ปลายปี ๒๕๕๒ จัดนิทรรศการ / ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในเวที
กองเลขา/ศูนย์ประสานงาน สภาเด็กและเยาวชนตำบลทุ่งมน
ติดต่อ : นายนุรักษ์ ทนงตน
สำนักงาน เลขที่ ๑ ม.๑๐ ต.ทุ่งมน อ.ปราสาท จังหวัดสุรินทร์ รหัสไปรษณีย์ ๓๒๑๔๐
โทรศัพท์ Email: [email protected]
องค์กร ภาคี ร่วมงาน
๑. โครงการฟื้นฟูและอนุรักษ์ลำน้ำชี (ตอนกลาง) / กลุ่มอาสาสมัครพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตำบลทุ่งมน
๒. สถาบันจัดการทางสังคม ภาคอีสาน
๓.องค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งมน
๔.องค์การบริหารส่วนตำบลสมุด
๕.องค์การบริหารส่วนตำบลตระแสง
๖.สมาคมรวมใจไทยสุรินทร์
๗.สภาคมบ้านวัดโรงเรียนตำบลทุ่งมน-สมุด น่าอยู่
๘.โครงการเด็กดีวีสตาร์ผู้นำฟื้นฟูศีลธรรมโลก จังหวัดสุรินทร์
๙.ศูนย์อบรมเยาวชนสุรินทร์
๑๐. สภาองค์กรชุมชนตำบลทุ่งมน/ กองทุนคุณธรรมสวัสดิการชุมชนพึ่งตนเองตำบลทุ่งมน
๑๑. โรงเรียนทุ่งมนวิทยาคาร , โรงเรียนบ้านทุ่งมน(ริมราษฎร์นุสรณ์), โรงเรียนบ้านสะพานหัน,โรงเรียนบ้านหนองหรี่,โรงเรียนบ้านกำไสจาน โรงเรียนบ้านตระแสง,
๑๒.องค์กรนักศึกษา ม.ราชภัฏสรินทร์, องค์กรนักศึกษาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตสุรินทร์
๑๓.เครือข่ายกองบุญคุณธรรมเพื่อจัดสวัสดิการชุมชนจังหวัดสุรินทร์
๑๔.คณะสงฆ์จังหวัดสุรินทร์
๑๕.สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดสุรินทร์
๑๖.องค์การบริหารส่วนจังหวัดสุรินทร์
๑๗.ประชาคมสุรินทร์สร้างสุข

ยุทธศาสตร์และแผนงานสภาองค์กรชุมชนตำบลทุ่งมน

ปี 2552 - 2554
แผนยุทธศาสตร์ที่ 1 การจัดการน้ำ
1.1 โครงการสูบน้ำด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ - เพื่อแก้ปัญหาฝนทิ้งช่วง - ชุมชน 5 หมู่บ้าน ม.3, ม.10, ม.9, ม.1 ,ม.2 นา 3,000 ไร่ - มีสถานีสูบน้ำ 1 แห่ง - มีการส่งน้ำระบบท่อ - มีน้ำเพียงพอในฤดูทำนา
1.2 โครงการน้ำดื่มสะอาดเพื่อชุมชน - เพื่อจัดหาแหล่งน้ำ อุปโภคที่สะอาดถูกสุขลักษณะอนามัย - พื้นที่ 11 หมู่บ้าน - เกิดการผลิตแหล่งน้ำดื่มที่สะอาด แผนยุทธศาสตร์ที่ 2 การจัดการสาธารณะสุขและสุขภาพชุมชน
2.1 โครงการออกกำลังกายแบบประยุกต์ - เพื่อส่งเสริมการออกกำลังกาย ให้ร่างกายแข็งแรง - ชุมชน 5 หมู่บ้าน ม.3, ม.10, ม.9,ม.1 ,ม.2 - ชุมชนมีสุขภาพแข็งแรง
2.2 โครงการอบสมุนไพรและนวดแผนไทย - เพื่อพัฒนาระบบการจัดการสุขภาพโดยชุมชน - พื้นที่ 11 หมู่บ้าน - มีสถานที่อบสมุนไพร - มีการอบสมุนไพรอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง - มีผู้นวดแผนไทย 50 คน
แผนยุทธศาสตร์ที่ 3 การจัดการประเพณีวัฒนธรรมภูมิปัญญาท้องถิ่น
3.1 โครงการประเพณีเขาคีรีวงคต - เพื่อส่งเสริมและรณรงค์ประเพณีขึ้นเขาคีรีวงคตประจำปี - พื้นที่ 11 หมู่บ้าน - เกิดการจัดทำเป็นปฏิทินประเพณีประจำปีตำบลทุ่งมน
3.2 โครงการประเพณีทำบุญรำลึกพนมยายจรูก- เพื่อส่งเสริมและรณรงค์ประเพณีทำบุญรำลึกพนมยายจรูก- เกิดการจัดทำเป็นปฏิทินประเพณีประจำปีตำบลทุ่งมน
3.3 โครงการแซนโฎนตาปลอดเหล้า- เพื่อส่งเสริมและรณรงค์ประเพณีแซนโฎนตาปลอดเหล้า- เกิดการจัดทำเป็นปฏิทินประเพณีประจำปีตำบลทุ่งมน
3.4 โครงการสืบสานอนุรักษ์แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์หนองละลมกรม - เพื่อส่งเสริมและรณรงค์ประเพณีสืบสานวัฒนธรรมละลมกรม
แผนยุทธศาสตร์ที่ 4 เศรษฐกิจชุมชน
4.1 โครงการทอผ้าไหม
4.2 โครงการเกษตรอินทรีย์และการจัดการป่าหัวไร่ปลายนา
4.3 โครงการแปรรูปทางการเกษตร
4.4 โครงการเพาะเห็ดชุมชน
แผนยุทธศาสตร์ที่ 5 สวัสดิการชุมชน
5.1 โครงการเผยแพร่และประชาสัมพันธ์สวัสดิการชุมชนตำบล
5.2 โครงการขยายสมาชิกสวัสดิการชุมชนตำบลทุ่งมน
แผนยุทธศาสตร์ที่ 6 ลด ละ เลิก อบายมุข
6.1 โครงการชวนพ่อแม่เลิกเหล้า
6.2 โครงการงานศพปลอดเหล้าและการพนัน
6.3 ชุมชนปลอดเหล้า
แผนยุทธศาสตร์ที่ 7 การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
7.1 โครงการเฝ้าระวังทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
7.2 โครงการพัฒนาแหล่งเรียนรู้ตำบลทุ่งมน
แผนยุทธศาสตร์ที่ 8 สื่อสาธารณะ
8.1 โครงการพัฒนาศูนย์ข้อมูลชุมชน- เพื่อเป็นแหล่งรวบรวมและจัดทำฐานข้อมูลตำบลทุ่งมน- เกิดคณะทำงาน – เกิดศูนย์ข้อมูล - เกิดบุคลากรมีความเข้าใจในข้อมูล - เกิดการเชื่อมโยงเครือข่าย
8.2 โครงกาจัดอบรมนักจัดรายการวิทยุชุมชน
8.3 โครงการจัดหาวัสดุอุปกรณ์สำนักงาน
8.4 โครงการเผยแพร่และรณรงค์ - เว็บไซด์ - นิทรรศการ - วีซีดี/วีดีโอ - หนังสือ
แผนยุทธศาสตร์ที่ 9 การพัฒนาสภาองค์กรชุมชนตำบล
9.1 การประชุมคณะทำงานสภาฯ 2 เดือน/ครั้ง
9.2 การประชุมเปิดสภาระดับตำบลสามัญ 4 ครั้งต่อปี
9.3 วัสดุอุปกรณ์สำนักงานสภาองค์กรชุมชน

กิจกรรม/โครงการ เติมยุทธศาสตร์ เพิ่ม 2556

1. พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานทดแทน พลังงานหมุนเวียน เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
2. เตาชีวมวล

3. ทำบุญวันคล้ายวันมรณภาพหลวงปู่ริม รตนมุนี
4. บวชสามเณรภาคฤดูร้อน
5. พัฒนาศาสนทายาท การศึกษาของสามเณรกรุงเทพ
6. บวชพระเข้าพรรษา
7. กองทุนคณะสงฆ์ตำบล
8. การบริหารวัดแบบสังคมสังฆะ
9. วิทยุสื่อสาร
10. วิทยุ 2 คลื่น สื่อสารเพื่อความโปร่งใส ตรวจสอบได้
11. ความมั่นคงทางอาหาร เกษตรอินทรีย์
12. หนุนเสริมองค์กรชุมชนฐานรากให้เข้มแข็ง
13. ประชาธิปไตยชุมชน
14. กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี
15. บัญชีครัวเรือน
16. สถาบันการเงินชุมชน
17. ทุ่งมนชุมชนสะอาด โปร่งใส ตรวจสอบได้ด้วยบัญชีครัวเรือน (บ้าน วัด โรงเรียน อบต. รพสต. องค์กรชุมชน ทุกระดับ) ควรปรับชื่อยุทธศาสตร์ ให้มีชื่อ ความมั่นคงทางอาหาร, พลังงาน, ประชาธิปไตยชุมชน, การพัฒนาคน-บุคลากรตำบล อยู่ใน 9 ยุทธศาสตร์

งานที่ต้องเกิดในตำบลต้นแบบ

1.กระบวนการทำแผนพัฒนา 3 ปี
2.การหนุนเสริมชุมชนฐานรากให้เข้มแข็ง
3.งานมหกรรมสร้างแรงเหวี่ยง
4.หนังสือ สิ่งตีพิมพ์ ที่ระบุแผนยุทธศาสตร์ 3 ปี ,องค์กรชุมชนฐานราก, กิจกรรมตามยุทธศาสตร์ตำบล, โครงสร้างสภาองค์กรชุมชนตำบลทุ่งมน
5.กองเลขาเข้มแข็ง ได้คนทำงานเพิ่มขึ้น

กรกฎาคม ๒๕๕๒

  • ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๕๒ ใบสำคัญแสดงการรับรองเป็นองค์กรสวัสดิการชุมชน ทะเบียนเลขที่ 0569/2552 ก.ส.ค.๖ ใบสำคัญฉบับนี้ออกให้เพื่อแสดงว่า เครือข่ายกองบุญคุณธรรมเพื่อจัดสวัสดิการชุมชนท้องถิ่นจังหวัดสุรินทร์ ที่ตั้งสำนักงาน เลขที่ 1 วัดสะเดารัตนาราม หมู่ที่ 10 ตำบลทุ่งมน อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ รหัสไปรษณีย์ 32140 คณะกรรมการส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมแห่งชาติได้รับรองเป็นองค์กรสวัสดิการชุมชนตามความในมาตรา 40/1 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคม พ.ศ. 2546 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2550 เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2552 นางอุบลหลิมสกุล รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมแห่งชาติ
  • ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๕๒ เนื่องด้วยสมาคมรวมใจไทยสุรินทร์ ร่วมกับ ศูนย์อบรมเยาวชนสุรินทร์ คณะสงฆ์จังหวัดสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดสุรินทร์ และพ่อค้าประชาชนชาวสุรินทร์ ได้จัดโครงการสอบตอบปัญหาศีลธรรมเพื่อสันติภาพโลก World Peace Ethics Contest (World-PEC) สำหรับพระภิกษุ สามเณร และบุคลากรทางศาสนา ในวันเสาร์ ที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๕๒ ณ ศูนย์อบรมเยาวชนสุรินทร์

พฤศจิกายน ๒๕๕๒

  • ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ สนทนากับ อ.ตุ้ม

นมัสการพระอาจารย์ค่ะ

ขอบพระคุณสำหรับข้อมูลที่ส่งมาให้เรียนรู้ค่ะ

ฝากพระอาจารย์คิดต่อเรื่องการเชื่อมโยงโรงเรียนกับกลุ่มออมศีลธรรมฯด้วยค่ะ

เรื่องการอบรมโครงการต้นกล้าสวัสดิการฯ ขณะนี้ยังรอข้อมูลจากคุณโสภณค่ะ

ทราบข่าวความคืบหน้าอย่างไร จะเรียนให้ทราบค่ะ

เครือข่ายพระสงฆ์ทางภาคเหนือประสานงานมาเมื่อวานนี้ค่ะ

เรื่องการสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชนชาวพุทธ คาดว่าจะจัดวงหารือกันในเร็ว ๆ นี้
หากทราบวันเวลาประชุมแน่นอน จะรีบแจ้งให้ทราบนะคะ
นิมนต์พระอาจารย์มหาวีระเข้าประชุมด้วยค่ะ
พระอาจารย์ดร.บุญช่วย รองอธิการบดีมจร.สวนดอก เคยบอกโยมว่าให้ใช้วัดบ้านขุน อ.ฮอด จ.เชียงใหม่ เป็นสถานที่สัมมนาเพราะเป็นต้นแบบเรื่องการพัฒนาศีลธรรมชุมชนค่ะ
วันเสาร์ที่ 12 ธ.ค. 52 เป็นวันรวมพลังเด็กดี V-Star ที่วัดพระธรรมกายค่ะ
หากพระอาจารย์ไม่ติดภารกิจใด เรียนเชิญด้วยนะคะ

นมัสการด้วยความเคารพค่ะ

โยมอ.ตุ้ม

เจริญพร โยมอาจารย์

       กลุ่มออมศีลธรรมเพื่อพัฒนาครอบครัว   เป็นการสรุปแนวคิดครั้งสุดท้ายจาก พระอาจารย์สุบิน พระอาจารย์มนัส  โดยต่อยอดแนวคิดจาก บ้านมั่นคง  กลุ่มออมทรัพย์  กองทุนหมู่บ้าน  กขคจ. เครดิตยูเนียนกลุ่มกัลยาณมิตร    สวัสดิการผู้นำ  และไม่ทิ้งหลักธรรม  โดยเฉพาะจากหนังสือหลาย ๆ เล่ม ของหลวงพ่อทัตตะ  และวัฒนธรรมองค์กรวัด(พระธรรมกาย)

หลวงพี่เคยดำเนินการสอบตอบปัญหาครอบครัวอบอุ่นในจังหวัดเหมือนกัน
ปี ๒๕๔๙ เคยเป็นกรรมการในโครงการของชมรมพุทธศาสตร์สากล ระดับภาค ประเทศ ก็เคย
วีสตาร์ ก็ช่วยเหลือในชุมชนอยู่บ้าง พยายามเหมือนกันแต่ได้โรงเดียว ปีหน้าทางวัดก็รับกฐินเด็กดีวีสตาร์ด้วย ปัจจุบัน ก็เชื่อมร้อยกับศูนย์อบรมเยาวชนสุรินทร์
หลวงพี่มีจิตใจใฝ่วัดใหญ่ แต่หลวงพี่อาจจะแตกต่าง เพราะไม่ได้บวชหล่อหลอมจากวัดโดยตรงเท่านั้น อาจจะบู๊แบบหลวงพ่อทัตตะบ้างบางส่วน

เมื่อวันที่ ๒๐ พ.ย. ที่ผ่านมา ครูชบ ยอดแก้ว เล่าให้ฟังว่า ได้ทำงานร่วมกับพระอาจารย์อำนาจ (ชมรมพุทธ) เกี่ยวกับการออมทำบุญของนักเรียน ก็ชื่นใจว่าหลักคิดครูชบ เอื้อต่อพระพุทธศาสนาด้วย และท่านให้ความเห็นว่า สวัสดิการชุมชน ใช้ชื่อกองบุญไปเลย

การได้ร่วมในงานบุญใหญ่ ก็ได้บรรยายกาศร่วม บางครั้งที่ไม่ได้ไป ก็ดู DMC ก็ได้ภาพรวม ๑๒ ธ.ค. นี้ กำลังลุ้นว่า เลขาธิการ สพฐ. จะมาเป็นประธานให้อีกหรือเปล่า และกำลังสงสัยว่า ท่านเลขาฯ ชินภัทร เป็นลูกพระธรรมเต็มตัวหรือยัง

ดีใจมากที่ผู้คนทั้งหลายเริ่มเกาะเกี่ยวกันด้วยธรรม  ทำงานทุกอย่าง หยาบ ละเอียด ก็อิงธรรมะ  มีกำลังใจมากที่เป้าหมายเดียวกันมีมากขึ้นและกำลังจะทำงานด้วยกันอย่างเข้มข้นตลอดไป

เจริญพร
หลวงพี่ พระมหาวีระ
23 พ.ย.2552

ธันวาคม ๒๕๕๒

  • ๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๒ บันทึก

กองทุนคุณธรรมสวัสดิการชุมชนพึ่งตนเองตำบลทุ่งมน( องค์กรสวัสดิการชุมชน)
ความเป็นมา
เมื่อ ปี พ.ศ. ๒๕๔๒ พระมหาวีระ กิตฺติวณฺโณ เจ้าอาวาสวัดสะเดารัตนาราม มีความตั้งใจในการจัดตั้ง “กองทุนวัดสะเดารัตนารามเพื่อพระพุทธศาสนาและพัฒนาคน” และกองทุนเฉลี่ยบุญ สำหรับกองทุนเฉลี่ยบุญให้มีวัตถุประสงค์ ว่า (๑) เพื่อฌาปนกิจสงเคราะห์ (๒) เพื่อเป็นค่ากระแสไฟฟ้าในวัดทุกเดือน (๓) เพื่อดูแลสุขภาพ เป็นสวัสดิการแก่ผู้สูงอายุ (๔) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายเยี่ยมผู้ประสบภัยทุกข์ยาก (๕) เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยวิบัติต่าง ๆ (๖) เพื่อช่วยเหลือกิจกรรมสาธารณกุศล (๗) เพื่อสาธารณสงเคราะห์อื่น ๆ ที่มาของกองทุน คือ การบอกบุญ , การทำบุญประจำเดือน,งานบุญประเพณี,ผู้มีจิตศรัทธาทั่วไป มีการกำหนดให้การทำบุญประจำเดือนบริจาคเดือนละ ๒๐ บาท ในวันแรม ๑๕ ค่ำหรือ ๑๔ ค่ำ ในแต่ละเดือน มีการจัดทำบัญชีการทำบุญแยกรายบุคคล ตลอดระยะเวลาที่ดำเนินการอยู่มีสมาชิก ประมาณ ๔๐ – ๖๐ คน การทำบุญของสมาชิกมุ่งประสงค์ทำบุญเป็นหลัก ดำเนินงานอยู่ในรูปแบบศาสนสงเคราะห์โดยปกติทั่วไปไม่คงที่นัก จำนวนสมาชิกจึงไม่เพิ่มแต่ลดลงตามสภาพการณ์ กระนั้นก็มีสมาชิกที่ทำบุญอย่างต่อเนื่องตลอด ๘ ปี( พ.ศ. ๒๕๔๒ – ๒๕๔๙) ตลอดระยะก็ได้พยายามคิดค้นวิธีการสงเคราะห์สมาชิก ชุมชนตลอดมา
เมื่อวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๔๙ สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดสุรินทร์ ได้จัดประชุมสัมมนาเผยแพร่ข้อมูลความรู้เรื่องสวัสดิการชุมชน (สวัสดิการวันละบาท) ณ โรงแรมเพชรเกษม พระมหาวีระ กิตฺติวณฺโณ และนายกองค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งมน(นายสุรศักดิ์ สินประโคน) ก็ได้เข้าร่วมเรียนรู้หลักคิดการจัดสวัสดิการชุมชนภาคประชาชนครั้งแรก ทางพระมหาวีระได้รวบรวมข้อมูลองค์ความรู้เพิ่มเติมจากการประชุมสัมมนาด้านสวัสดิการชุมชนของสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน(พอช.)ที่จัดขึ้นหลายครั้งอย่างต่อเนื่อง แล้วให้ข้อมูลแก่ผู้นำในพื้นที่ตำบลทุ่งมนมีสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล กำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน ผู้อำนวยการโรงเรียน หัวหน้าส่วนราชการ รับรู้ข่าวสารอย่างต่อเนื่องจากการประชุมร่วมกันประจำเดือน วัดสะเดารัตนารามได้ดำเนินการเพื่อการเรียนรู้นำร่องด้วยการยกฐานะสมาชิกกองทุนเฉลี่ยบุญเป็นสมาชิกกองทุนคุณธรรมเป็นกลุ่มแรกและรับสมาชิกเพิ่มแบบการฝากสัจจะย้อนหลัง ๖ เดือน รวมสมาชิกชุดแรก ๑๕๐ คน และเริ่มมอบสวัสดิการแก่สมาชิก ตั้งแต่ วันที่ ๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ เมื่อชุมชนได้ทำการปรึกษาหารือกันเนือง ๆ จนเกิดความเข้าใจ เห็นความงดงามของกองทุนคุณธรรมมากยิ่งขึ้น จึงได้ตกลงร่วมมือกันจากทุกภาคส่วน ดำเนินการจัดสวัสดิการชุมชนภาคประชาชน เมื่อ เดือน เมษายน ๒๕๕๐ ให้มีที่ทำการ ณ องค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งมน มีคุณครูสุรศักดิ์ แร่ทอง เป็นประธานกองทุนคนแรก เมื่อมีการดำเนินกิจกรรมครบ ๑ ปี จึงได้ขอรับรองเป็นองค์กรสวัสดิการชุมชนตามกฎหมาย เมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๕๑

ที่ตั้งกองทุนคุณธรรมสวัสดิการชุมชนพึ่งตนเองตำบลทุ่งมน ณ อบต.ทุ่งมน ม.๑ บ.ทุ่งมน ต.ทุ่งมน อ.ปราสาท จ.สุรินทร์
ประธาน นายสุรศักดิ์ แร่ทอง ที่อยู่ ๓๒ ม.๑ บ.ทุ่งมน

ก่อตั้งเมื่อ   ๑  มีนาคม  ๒๕๕๐  สนับสนุนการก่อตั้งโดย  วัดสะเดารัตนาราม / อบต.ทุ่งมน
จำนวนสมาชิกปัจจุบัน ๑,๑๓๐ คน

วัตถุประสงค์
๑. เพื่อนำหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นหลักคุณธรรมสำคัญต่อการส่งเสริมการจัดสวัสดิการในชุมชน โดยมีบ้าน วัด โรงเรียน องค์กรชุมชน หน่วยงานท้องถิ่นตำบลทุ่งมน เป็นฐานในการจัดสวัสดิการที่นำไปสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตแก่สมาชิกในชุมชนตำบลทุ่งมน
๒. เพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมชาวพุทธให้เข้มแข็ง เฝ้าระวังและรักษาวัฒนธรรมท้องถิ่น พิทักษ์วิถีชีวิตชุมชน เรื่องการช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน ส่งเสริมการสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างสมาชิกในชุมชน
๓. เพื่อจัดสวัสดิการสังคมที่สอดคล้องและเป็นแนวทางการแก้ปัญหาทางสุขภาพ การศึกษา สังคมและสิ่งแวดล้อม สามารถยกระดับคุณภาพความสุขพื้นฐานด้านสุขภาพร่างกาย ชีวิตและจิตใจ ตามความต้องการของสมาชิกและชุมชน
๔. เพื่อลดช่องว่างความเป็นอยู่ของสมาชิกในชุมชนให้เกิดความเสมอภาค เป็นธรรม เป็นสังคมที่ไม่ทอดทิ้งกันอย่างยั่งยืน อยู่เย็นเป็นสุขร่วมกันเหมือนญาติพี่น้อง
๕. เพื่อช่วยเหลือและประสานความร่วมมือในการแก้ปัญหาชุมชนในด้านต่าง ๆ
๖. เพื่อเป็นแบบอย่างและเผยแพร่การจัดตั้งกองทุนคุณธรรมสวัสดิการไปยังชุมชนอื่นที่สนใจ
๗. เพื่อประหยัดอดออมอยู่อย่างพอเพียง
๘. เพื่อส่งเสริมด้านปัญญาธรรม คารวะธรรม และสามัคคีธรรม ตามวิถีประชาธิปไตยแก่สมาชิก
๙. กองทุนนี้ไม่ใช่กองทุนที่ดำเนินการเพื่อแสวงหาผลกำไรสูงสุดทางทรัพย์สิน แต่ดำเนินการเพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกันระหว่างสมาชิก ให้เกิดความเอื้ออาทรกันในตำบล
การจัดสวัสดิการ ทั้งหมด ๙ เรื่อง
ในการนับอายุของการฝากสัจจะ ให้นับรวมอายุการฝากสัจจะย้อนหลัง ๑๘๐ วัน แต่ไม่นับอายุการฝากสัจจะล่วงหน้า นับถึงเฉพาะวันที่มีการพิจารณาจ่ายสวัสดิการเท่านั้น
- ลูกสมาชิกที่เกิดใหม่ คนละ ๕๐๐ บาท (สมาชิกอาจเป็นพ่อ/แม่ก็ได้)
- แม่ที่คลอดบุตร นอนโรงพยาบาล ได้คืนละ ๑๐๐ บาท ไม่เกิน ๓ คืน /คน
จัดสวัสดิการตามที่คณะกรรมการมีมติแต่ละปี

  • - นอนโรงพยาบาล คืนละ ๑๐๐ บาท ปีละไม่เกิน ๑๐ คืน / คน
  • - เยี่ยมคนป่วยหนัก/ป่วยอุบัติเหตุที่รักษาตัวที่บ้าน เรียกขวัญครั้งละ ๑๐๐ บาท ไม่เกินปีละ ๒ ครั้ง
  • - เจ็บป่วยไข้ ที่ต้องไปพบหมอนอกตำบล ไม่ต้องนอน ค่ารถครั้งละ ๕๐ บาท
  • - ดูแลรักษาบุพพาการีที่เป็นสมาชิกป่วยเรื้อรัง นอนรักษาตัวที่บ้าน วันละ ๒๐ บาท ไม่เกินปีละ ๓๐ วัน
  • - สามารถเลิกเหล้าได้เด็ดขาด ภายใน ๕ ปีแรกที่เป็นสมาชิก คุ้มครองสัจจะ ๑ ปี
  • - สามารถเลิกบุหรี่ได้เด็ดขาด ภายใน ๕ ปีแรกที่เป็นสมาชิก คุ้มครองสัจจะ ๑ ปี
  • - มีสุขภาพดีและไม่เจ็บป่วยไข้ แต่ละรอบ ๕ ปี คุ้มครองสัจจะ ๑ ปี

ถ้าเป็นงานศพปลอดเหล้าและปลอดการพนัน โดยผ่านการประเมินจากคณะกรรมการ สมทบทำบุญ ๒,๐๐๐ บาท

  • - ฝากสัจจะ ๖ เดือน ( ๑๘๐ วัน) ช่วยงานศพ ๒,๕๐๐ บาท
  • - ฝากสัจจะ ๑ ปี ( ๓๖๕ วัน) ช่วยงานศพ ๕,๐๐๐ บาท
  • - ฝากสัจจะ ๒ ปี ( ๗๓๐ วัน) ช่วยงานศพ ๑๐,๐๐๐ บาท
  • - ฝากสัจจะ ๔ ปี ( ๑,๔๖๐ วัน) ช่วยงานศพ ๑๕,๐๐๐ บาท
  • - ฝากสัจจะ ๘ ปี ( ๒,๙๒๐ วัน) ช่วยงานศพ ๒๐,๐๐๐ บาท
  • - ฝากสัจจะ ๑๒ ปี ( ๔,๓๘๐ วัน) ช่วยงานศพ ๒๕,๐๐๐ บาท
  • - ฝากสัจจะ ๑๖ ปี (๕,๘๔๐ วัน) ช่วยงานศพ ๓๐,๐๐๐ บาท
  • - ฝากสัจจะ ๒๐ ปี (๗,๓๐๐วัน) ช่วยงานศพ ๓๕,๐๐๐ บาท
  • - ฝากสัจจะ ๒๔ ปี ( ๘,๗๖๐ วัน) ช่วยงานศพ ๔๐,๐๐๐ บาท
  • - ฝากสัจจะ ๒๘ ปี ( ๑๐,๒๒๐ วัน) ช่วยงานศพ ๔๕,๐๐๐ บาท
  • - ฝากสัจจะ ๓๒ ปี ( ๑๑,๖๘๐ วัน) ช่วยงานศพ ๕๐,๐๐๐ บาท ( สูงสุดแล้ว
  • - นักเรียนที่ฝากสัจจะแต่ละรอบ ๕ ปี รับทุนการศึกษา ๑ ทุน จำนวน ๕๐๐ บาท
  • - นักเรียนที่ฝากสัจจะ ๓ ปีขึ้นไป มีสิทธิ์พิจารณารับทุนสำนึกรักบ้านเกิด
 ปีละ     ๕   ทุน     ทุนละ ๑,๐๐๐  บาท
  • - นักเรียน/นักศึกษาที่ฝากสัจจะ ๕ ปีขึ้นไป มีสิทธิ์พิจารณารับทุนการศึกษา เพื่อ

การพัฒนาท้องถิ่น เช่น ทุนเรียนพยาบาล และอื่น ๆ ปีละ ๑ ทุน ๆละ ๕,๐๐๐ บ.

  • - ฝากสัจจะ ๒ ปี ขึ้นไป ช่วยเหลือประสบอัคคีภัยครอบครัวละไม่เกิน ๑,๐๐๐ บาท - ฝากสัจจะ ๒ ปีขึ้นไป ช่วยเหลือประสบวาตภัยครอบครัวละไม่เกิน ๕๐๐ บาท
  • - ฝากสัจจะ ๒ ปีขึ้นไป มีสิทธิ์พิจารณารับรางวัลคนขยัน คนดีมีคุณธรรม ที่จัดขึ้นตามโครงการ และโอกาสสำคัญ ที่คณะกรรมการดำเนินการ
  • กองทุนรับจ่ายฝากสัจจะแทน ปีละจำนวน ๓๖๕ บาท โดยผู้ด้อยโอกาสมีสิทธิ์เหมือนสมาชิกทั่วไป สัดส่วนรับคนด้อยโอกาส ๑ คนต่อสมาชิก ๕๐ คน
  • เมื่อได้รับการสมทบกองทุนจากภารรัฐบาลและท้องถิ่น ให้มีการจัดสวัสดิการชุมชนที่มากกว่าการเกิด แก่ เจ็บ ตาย คือ การดูแลทรัพยากรธรรมและสิ่งแวดล้อม วัฒนธรรมประเพณีชุมชน เยาวชน คุณภาพชีวิตของชุมชนโดยภาพรวมด้วย
  • การจัดสวัสดิการแก่สมาชิก ในส่วนเงินช่วยจัดการศพ เจ้าภาพงานศพนั้นและคณะกรรมการกองทุนคุณธรรมฯ อาจปรึกษาเจรจากันเพื่อจัดการบริจาคแก่องค์กรสาธารณประโยชน์ เช่น บ้าน วัด โรงเรียน สมาคม มูลนิธิ ชมรม กลุ่ม คณะ ตามเกณฑ์ต่อไปนี้

(๑) เมื่อทางกองทุนคุณธรรมฯ ได้ช่วยจัดการศพ จำนวน ๑๐,๐๐๐ บาทขึ้นไป ขอให้ช่วยเพิ่มการบริจาคแก่กองทุนคุณธรรมสวัสดิการชุมชนพึ่งตนเองตำบลทุ่งมน (องค์กรสวัสดิการชุมชน) จำนวน ๑,๐๐๐ บาท และ
(๒) เมื่อทางกองทุนคุณธรรมฯ ได้ช่วยจัดการศพ จำนวน ๒๐,๐๐๐ บาทขึ้นไป ขอให้ช่วยเพิ่มการบริจาคแก่โรงเรียนที่ชุมชนใช้บริการ จำนวน ๑,๐๐๐ บาท และ สถานีอนามัยประจำตำบลหรือกลุ่ม อสม. จำนวน ๑,๐๐๐ บาท หรือ รวมทั้งสิ้น ๓,๐๐๐ บาท และ
(๓) เมื่อทางกองทุนคุณธรรมฯ ได้ช่วยจัดการศพ จำนวน ๓๐,๐๐๐ บาทขึ้นไป ขอให้ช่วยเพิ่มการบริจาคแก่วัดใน/ใกล้ชุมชน จำนวน ๑,๐๐๐ บาท และ สภาองค์กรชุมชนตำบลทุ่งมน จำนวน ๑,๐๐๐ บาท หรือ รวมทั้งสิ้น ๕,๐๐๐ บาท และ
(๔) เมื่อทางกองทุนคุณธรรมฯ ได้ช่วยจัดการศพ จำนวน ๔๐,๐๐๐ บาทขึ้นไป ขอให้ช่วยเพิ่มบริจาคแก่องค์กรเด็ก เยาวชน จำนวน ๒,๐๐๐ บาท และ สนับสนุนเด็กนักเรียน เยาวชน ในชุมชน ในการร่วมดำเนินการจัดงานศพนี้ จำนวน ๕,๐๐๐ บาท หรือ รวมบริจาคทั้งสิ้น ๗,๐๐๐ บาท และ สนับสนุนเด็กนักเรียน เยาวชน ในชุมชน ร่วมดำเนินการจัดงานศพนี้ จำนวน ๕,๐๐๐ บาท และ
คณะกรรมการกองทุนและที่ปรึกษา ปัจจุบันมีทั้งสิ้น ..........๕๒........ คน ประกอบด้วย ( ๒๐ ธ.ค. ๕๒)

กองบุญคุณธรรมเพื่อจัดสวัสดิการชุมชนจังหวัดสุรินทร์

ความเป็นมา
สังคมไทยมีวัฒนธรรมการอยู่ร่วมกันแบบช่วยเหลือเกื้อกูลกัน มีน้ำใจต่อกัน ในอดีตเราเคยได้รับ สวัสดิการจากธรรมชาติ หาเห็ด หาหน่อไม้จากป่าใกล้บ้าน หาปลาในแม่น้ำลำคลองยามเจ็บไข้ได้ยาสมุนไพรจากป่า เพื่อนบ้านมาเฝ้าไข้ให้กำลังใจ เมื่อมีปัญหามีศาสนาและผู้อาวุโสในชุมชนเป็นที่พึ่ง นี่คือ สวัสดิการธรรมชาติที่ธรรมชาติและผู้คนให้แก่กันบนพื้นฐานของความเกื้อกูล มีน้ำใจ และเคารพซึ่งกันและกัน ระหว่างคนกับคน และคนกับธรรมชาติ
ปัจจุบัน ภาครัฐมีระบบการจัดสวัสดิการให้กับประชาชนทั้งในรูปของเงินและสิ่งของช่วยเหลือ อีกทั้งชุมชนหลายแห่งก็รวมตัวกันเพื่อจัดสวัสดิการช่วยเหลือกันเองในชุมชน หมู่บ้านและตำบล ซึ่งทั้งสองส่วนสามารถบรรเทาความเดือดร้อนเฉพาะหน้าและสร้างระบบการช่วยเหลือกันภายในชุมชนในระยะยาว
ในสังคมหมู่บ้านชนบทมีการช่วยเหลือซึ่งกันและกันเป็นไปตามวัฒนธรรมของชาวบ้านเรามาตั้งแต่ดั้งเดิม นับเป็นร้อย ๆ ปีมาแล้ว ในอีตดคนอยู่ร่วมกันในชุมชนแบบใกล้ชิดสนิทสนมแน่นแฟ้นกันมาก เรียกว่าทุกคนจะมีการช่วยเหลือดูแลกันอย่างจริงจัง คนจะต้องพึ่งพาอาศัยกันในการเป็นอยู่เพราะภาระในการดำเนินชีวิตไม่สามารถจะแก้ปัญหาเฉพาะตนได้ งานหลายอย่างทำคนเดียวไม่ได้ ต้องอาศัยแรง อาศัยความคิด อาศัยความรู้สึกของเพื่อนบ้านด้วย ชุมชนจะมีการลงแรงช่วยกันสร้างบ้าน สร้างยุ้ง ขุดบ่อน้ำ ทำถนน สร้างสะพาน สร้างวัด สร้างโรงเรียน
แต่ในปัจจุบัน คนมีจำนวนมากขึ้น มีความซับซ้อนมากขึ้น กิจกรรมในชุมชน หรืองานบุญงานบวช งานศพ การช่วยงานกันไม่ได้มีส่วนร่วมทุกคน ในหนึ่งครอบครัวก็มีหนึ่งคนที่มีบทบาทในการออกไปช่วยงานเพื่อนบ้าน ช่วยงานชุมชน สาธารณะ อีกหลายคนในครอบครัวจะไปแต่งานไร่งานนา เลี้ยงวัวเลี้ยงควาย ไม่ได้เข้าสังคมเลย ในชุมชนหมู่บ้านอาจมีเพียง ๑๐-๒๐ ครอบครัวที่ชอบไปวัดเป็นประจำ ชอบช่วยกันทุกงาน หลายครอบครัวไปบ้างไม่ไปบ้าง ไม่ต่อเนื่อง ไม่สม่ำเสมอ สังคมเราจึงช่วยกันไม่เท่าเทียมกัน มีความเหลื่อมล้ำทางการมีส่วนร่วมทางสังคมอยู่มาก
ในปี ๒๕๔๙ พื้นที่ตำบลโคกยางมีการดำเนินยุทธศาสตร์ฟื้นฟูชุมชนท้องถิ่นขึ้น มีการดำเนินงานสวัสดิการชุมชนเป็นพื้นที่แรกในจังหวัดสุรินทร์ ปลายเดือนธันวาคม ๒๕๔๙ สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดสุรินทร์ได้จัดเวทีเผยแพร่หลักคิดและองค์ความรู้สู่สังคมจังหวัดสุรินทร์
ต้นปี ๒๕๕๐ พระมหาวีระ กิตฺติวณฺโณ จึงได้ปรับเปลี่ยนต่อยอดจากแนวคิดกองทุนเฉลี่ยบุญที่ดำเนินการในวัดมาแล้ว ๘ ปี ดำเนินการทันทีในตำบลทุ่งมน เพื่อการฟื้นฟูวัฒนธรรมเครือญาติ วัฒนธรรมแห่งการเอื้ออาทรที่เป็นธรรม สร้างระบบการรวมทุน รวมคน รวมภูมิปัญญา รวมจิตใจ มีพื้นที่ตำบลเดียวกันร่วมกันจัดประโยชน์ใหม่อย่างเป็นธรรม เสมอภาคทั่วถึง ให้เกียรติและมีศักดิ์ศรี ช่วยเหลือดูแลกันและกันตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย เป็นชุมชนที่มีส่วนร่วมในการพัฒนาศักยภาพการพึ่งพาตนเองตามแนวคิด “ เศรษฐกิจพอเพียง” และระบบคุณธรรม ทั้งเป็นเครื่องมือในการนำหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นหลักคุณธรรมสำคัญต่อการส่งเสริมการจัดสวัสดิการในชุมชน โดยมีบ้าน วัด โรงเรียน องค์กรชุมชน หน่วยงานท้องถิ่นตำบล เป็นฐานในการจัดสวัสดิการที่นำไปสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตแก่สมาชิกในชุมชนตำบล ส่งเสริมวัฒนธรรมชาวพุทธให้เข้มแข็ง เฝ้าระวังและรักษาวัฒนธรรมท้องถิ่น พิทักษ์วิถีชีวิตชุมชน เรื่องการช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน ส่งเสริมการสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างสมาชิกในชุมชนสอดคล้องและเป็นแนวทางการแก้ปัญหาทางสุขภาพ การศึกษา สังคมและสิ่งแวดล้อม สามารถยกระดับคุณภาพความสุขพื้นฐานด้านสุขภาพร่างกาย ชีวิตและจิตใจ ตามความต้องการของสมาชิกและชุมชน ลดช่องว่างความเป็นอยู่ของสมาชิกในชุมชนให้เกิดความเสมอภาค เป็นธรรม เป็นสังคมที่ไม่ทอดทิ้งกันอย่างยั่งยืน อยู่เย็นเป็นสุขร่วมกันเหมือนญาติพี่น้องประสานความร่วมมือในการแก้ปัญหาชุมชนในด้านต่าง ๆ เป็นแบบอย่างและเผยแพร่การจัดตั้งกองทุนคุณธรรมสวัสดิการไปยังชุมชนอื่นที่สนใจ
ต่อมาแกนนำชุมชนได้รับฟังวิทยากรจากจังหวัดร้อยเอ็ดและสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดสุรินทร์ และเรียนรู้ข้อมูลเพิ่มเติมจากตำบลปอภาร จ.ร้อยเอ็ด
ในขณะเดียวกันพื้นที่ตำบลปราสาททนงและตำบลสมุดก็มีการเคลื่อนตัวเรียนรู้อยู่ในพื้นที่ กลางปีต่อมาตำบลปราสาททนงมีการจัดตั้งเป็นตำบลที่ ๓ ตำบลสมุดเป็นตำบลที่ ๔ เดือนมีนาคม ๒๕๕๐ ได้รับการทาบทามจากเจ้าหน้าที่ พอช.ภาคอีสาน จึงได้จัดขบวนคณะทำงานสวัสดิการชุมชนท้องถิ่นจังหวัดสุรินทร์ขึ้น มีการจัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันหลายครั้ง มีมติใช้ชื่อว่า “กองบุญคุณธรรมเพื่อจัดสวัสดิการชุมชนตำบล....” เดือน พฤศจิกายน ได้รับการหนุนเสริมจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุรินทร์ในการจัดเวทีความร่วมมือขับเคลื่อนสวัสดิการชุมชนและเผยแพร่ข้อมูลความรู้ในจังหวัด ในปลายปี ๒๕๕๐ สามารถรวบรวมพื้นที่ที่จัดทำกองบุญคุณธรรม จำนวน ๑๔ ตำบล
พระธรรมโมลี เจ้าคณะจังหวัดสุรินทร์ วัดศาลาลอย(พระอารามหลวง) ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่
การทำสวัสดิการวันละบาท เป็นการพัฒนาการ เป็นการต่อยอด ปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมเดิมให้ดีขึ้น ผู้คนมีส่วนร่วมกันมากขึ้นและเท่าเทียมกัน ทำทุกคนให้มีความเสมอภาคกัน ดึงนำคนทั้งชุมชนให้มีส่วนในการช่วยเหลือกันเหมือนเช่นในอดีตที่คนน้อยมีความสำคัญทุกคน ออมเพื่อให้ ให้อย่างมีศักดิ์ศรี รับอย่างมีคุณค่า เกลี่ยความสุข ความทุกข์ของกันและกันในชุมชน
เครือข่ายกองบุญคุณธรรมเพื่อจัดสวัสดิการชุมชนท้องถิ่น จังหวัดสุรินทร์ เกิดจากการรวมตัวกันของกองบุญคุณธรรมเพื่อจัดสวัสดิการชุมชนตำบลต่าง ๆ ในจังหวัดสุรินทร์ ในปี ๒๕๕๐ โดยการสนับสนุนของสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ พอช. และ รวมกันเป็นเครือข่าย เมื่อวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ ปัจจุบันในกรกฎาคม ๒๕๕๔ มีจำนวน จำนวน ๖๕ ตำบล ดำเนินกิจรรมให้ความรู้ด้านการจัดสวัสดิการชุมชน การพัฒนาแกนนำ และการสนับสนุนงบประมาณในการจัดตั้งกองทุนสวัสดิการชุมชน มีเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ มีแผนงานขยายกองทุนให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ เพื่อให้ชุมชนลุกขึ้นมาดูแลกันเองก่อนที่จะขอรับการสนับสนุนจากภายนอก

ยุทธศาสตร์

๑. ส่งเสริมให้ชุมชนจัดตั้งกองบุญคุณธรรมเพื่อจัดสวัสดิการชุมชน เต็มพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ โดยชุมชนเป็นแกนหลัก
๒. พัฒนาศักยภาพในการบริหารจัดการกองบุญคุณธรรมเพื่อจัดสวัสดิการชุมชนให้เกิดประสิทธิภาพและเข้มแข็ง
๓. เชื่อมร้อยและพัฒนาเครือข่ายกองบุญคุณธรรมเพื่อจัดสวัสดิการชุมชนท้องถิ่นจังหวัดสุรินทร์
๔. เชื่อมประสานภาคีพัฒนาและผลักดันสวัสดิการชุมชนสู่นโยบายสาธารณะทั้งระดับตำบล จังหวัด และระดับชาติ

เป้าหมาย

“ ออมเพื่อให้ ชุมชนมีสวัสดิการหลากหลาย คุณภาพชีวิตดีมีคุณธรรม และพึ่งตนเองได้”
กิจกรรมในปัจจุบัน

  • - ค้นหาแกนนำตำบล อำเภอ จังหวัด
  • - ค้นหาพื้นที่ดำเนินการ
  • - จัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้
  • - ประชาสัมพันธ์
  • - พัฒนาสื่อการเรียนรู้ / จัดนิทรรศการ

ผลที่เกิดขึ้น

  • - เกิดกองทุนในการจัดสวัสดิการชุมชน
  • - เกิดกองทุนสวัสดิการผู้นำ
  • - เชื่อมร้อยสภาองค์กรชุมชน
  • - เผยแพร่ข้อมูล
  • - มีพลังในการรวมกลุ่ม
  • - เกิดกระบวนการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง
  • - เชื่อมโยงงานประเด็นพื้นที่ภาคีเครือข่ายทุกระดับ

ปัญหาและอุปสรรค

  • - ผู้นำบางพื้นที่ให้ความสำคัญน้อย
  • - กองบุญกระทบต่ออำนาจทางการเมือง
  • - ทุนขับเคลื่อนงานน้อย
  • - คนยังใช้ศักยภาพในการทำงานน้อย
  • - ผลกระทบจากเรื่องราวการทุจริตกองทุนจากภายนอก กระทบความเชื่อมั่น

แผนงานในอนาคต

  • - ขยายพื้นที่ใหม่
  • - พัฒนาพื้นที่ดำเนินการ
  • - จัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้/ ศึกษาดูงานกันเองในจังหวัด
  • - พัฒนาสื่อการเรียนรู้ / จัดนิทรรศการ
  • - ปรับปรุงระบบข้อมูลให้มีประสิทธิภาพ
  • - แก้ไขระเบียบ เรื่อง บำนาญแก่
  • - พัฒนาศูนย์การเรียนรู้
  • - พัฒนาเครือข่ายให้เข้มแข็ง
  • - เชื่อมร้อยเครือข่าย
  • - ทำการวิจัยเพื่อขยายเครือข่าย


พัฒนาการตำบลทุ่งมน

โดยภาคประชาชนและภาคีร่วมพัฒนา
• ยุคที่ 1 ปี 2500 – 2525
• พลังศรัทธาศาสนา นำโดยพระสงฆ์ หลวงปู่ริม รัตนมุนี นำพาชุมชนจัดทำสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ป่าชุมชนคีรีวงคต /ป่าชุมชนยายจรูก/หนองละลมกรม
• ยุคที่ 2 ปี 2526 -2540
• พลังศรัทธาศาสนา นำโดยพระสงฆ์หลวงปู่หงส์ พรหมฺปัญโญ (พระครูปราสาทพรหมคุณ) บิณฑบาตป่า/ซื้อป่าหัวไร่ปลายนาชาวบ้านและร่วมกับชุมชน,องค์กรชุมชนท้องถิ่น,สถานศึกษา จัดทำป่าชุมชนตำบลทุ่งมน/สมุดจำนวน 12 แปลง เนื้อที่รวมประมาณกว่า 2,500 ไร่
• ยุคที่ 3 ปี 2540 – 2552
• พลังประชาสังคม สิทธิชุมชน เบ่งบาน พัฒนาการมีส่วนร่วมจากองค์กรภายนอกชุมชนเข้ามาส่งเสริม เช่น ปี 2542 -2543 มูลนิธิพัฒนาอีสาน โครงการบทบาทหญิงชายในการจัดการทรัพยากรฯ ปี 2544 – 2549 กองทุนเพื่อสังคม ( sif )/เครือข่ายป่าชุมชนจังหวัดสุรินทร์/เครือข่ายลุ่มน้ำสุรินทร์/ สนับสนุนจากวิทยาลัยการจัดการเพื่อสังคม (วจส.) กป.อพช.อีสาน/สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน(พอช.)/ปี2550-2552 สภาองค์กรชุมชน,งานสวัสดิการชุมชน (พอช.)สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) สภาเด็กและเยาวชน จัดการลุ่มน้ำ วัดปลอดเหล้า งานทรัพยากร ในการพัฒนานโยบายท้องถิ่นเชิงบู
รณาการ
• วิสัยทัศน์
• พื้นที่เป็นตัวตั้ง ชุมชนจัดการตนเอง
• พัฒนาท้องถิ่นแบบบูรณาการ
• องค์กรภาคีร่วมพัฒนา
• สร้างสังคมแห่งการเรียนรู้
• ชุมชนกำหนดอนาคตตนเอง
• พัฒนาผู้นำการเปลี่ยนแปลง
• สร้างประชาสังคมยั่งยืน

• 1.รวบรวม/ทบทวนข้อมูลพื้นฐานชุมชน/ชุดความรู้
• 2.กำหนดองค์กร/ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในท้องถิ่น(ความหลากหลายขององค์กรภาคี)
• 3.ประสานภาคี/ประชุมเพื่อทำความเข้าใจ/พัฒนากลไกคณะทำงาน
• 4.ออกแบบกระบวนการและเนื้อหาในการพัฒนาแหล่งเรียนรู้และแนวทางการสร้างนโยบายสาธารณะ
• 5.ขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการ/สำรวจพื้นที่,ข้อมูล/ประชุมหมู่บ้าน/กิจกรรมรณรงค์/สื่อประชาสัมพันธ์วิทยุชุมชน/แผ่นพับ/ป้าย/คู่มือ/แผนที่ฯลฯ
• 6.ทดลองปฏิบัติการ/พัฒนาวิทยากรชุมชน/ผู้นำการเปลี่ยนแปลง
• 7.ประเมิน/วิเคราะห์/สังเคราะห์ปรับปรุงเนื้อหา/แผนงาน
• 8.พัฒนาเป็นแผนชุมชน/อปท.และองค์กรท้องถิ่น ร่วมผลักดันนโยบายสาธารณะท้องถิ่น
• 9.ทบทวนและปรับปรุงแผนงานอย่างต่อเนื่อง