เปลี่ยนอาหารเป็นยา
ชื่อโครงการ เปลี่ยนอาหารเป็นยา
ผู้เสนอ Weera Kittiwanno (สังคมบูรณาการสร้างสุข)
(ร่าง)แนวคิด
คนไทยทานอาหารหลัก วันละ 3 มื้อ เวลาเช้า เวลาเที่ยง และเวลาเย็น ในแต่ละมื้อมีการทานข้าวเป็นหลัก สมัยแต่ก่อนนานเมื่อการปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ยังเป็นแบบอาศัยธรรมชาติล้วน ๆ ผู้ใหญ่มักจะพูดว่า ทานข้าวแยะ ๆ นะ ทานกับน้อย ๆ ทานข้าวให้อยู่ท้อง จะได้มีแรง กับข้าวก็มักจะเป็นเนื้อปลา ปลาร้า ปลาจ่อม ทานกับผักริมรั้ว ผักป่า ผักพื้นบ้าน เมื่อจะต้มก็เติมเครื่องเทศหลากหลาย รสชาดสมุนไพรกลมกล่อมไม่มีการเติมน้ำตาลแต่อย่างใด เมื่อทำของหวานก็เป็นน้ำตาลปิ๊บ น้ำตาลอ้อยที่ผลิตได้พอแก่ครอบครัว บางครอบครัวเกือบไม่เคยได้ลิ้มอาหารของหวานจากน้ำตาลเลย มักอาศัยความหวานจากผลไม้ธรรมชาติตามฤดูกาล ชีวิตผู้คนมีการออกำลังกายโดยการประกอบอาชีพ การทำงาน การทำกิจกรรมประจำวันอย่างหนัก ลำบากทุก ๆ วัน เมื่อยามป่วยไข้ก็รักษาโรคตามภูมิปัญญาชาวบ้าน อดทนกัน พึ่งตนเอง พึ่งกันเองไปตามสภาพสังคม กระจายกันรับผิดชอบกันและกันในสังคมวงแคบ
เมื่อสังคมไทยมีการขนส่งสะดวก ค้าขายสินค้าที่ละมาก ๆ มีร้านค้าอยู่ทุกจุดชุมชน ทั้งร้านเล็กและร้านใหญ่ บริการกลางวันกลางคืน ตอบสนองความต้องการของผู้คน มีการโฆษณาสินค้า มากๆๆๆ ในปัจจุบัน อาหารเกือบทุกอย่างมีรสหวานขึ้น มีอาหารที่ผลิตจากแป้งมากมาย มีอาหารทอดน้ำมัน มีอาหารหวาน ๆ นอกจากอาหารหลักแล้ว อาหารว่าง น้ำหวาน เครื่องดื่มและอาหารทานตลอดเวลาก็มีจำนวนมากตามท้องถนน ตามร้านค้า ตามสื่อโฆษณา ผู้คนต้องรีบเร่งทานอาหารที่ผลิตโดยอุตสาหกรรม อาหารธรรมชาติถูกลดบทบาท ติดรสหวาน ติดรสเมือง ยิ่งทานยิ่งชอบ ยิ่งทานยิ่งอร่อย ในขณะวิถีชีวิตประจำวันลดการออกแรงกายเกือบทุกอย่าง นั่งรถแทนเดิน ทำงานด้วยเครื่องจักรกล คอมพิวเตอร์ ใช้คำพูดมากกว่าออกแรงกาย หรือออกแรงก็ไม่สมบูรณ์ที่จัดได้ว่าเป็นการออกกำลังกาย การบริหารเลือดลม การประกอบอาชีพมักผลิตจำนวนมากๆ เพื่อขายตลาด มีวิทยาการการผลิตที่เจือด้วยสารปฏิชีวนะมากขึ้นตามตัว ผู้คนจำนวนมากขึ้น ทานอาหารตามใจได้สะดวกขึ้น ออกกำลังกายน้อยลง อาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายจริง ๆ ไม่ถูกปาก ไม่ถูกกับการผลิตแบบอุตสาหกรรม ไม่เหมาะกับการผลิตจำนวนมาก ๆ ไม่สามารถขนส่งได้ไกล ๆ ไม่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจการลงทุน เป็นอาหารที่ผู้คนมองข้าม ไม่ให้ความสำคัญ
ในสมัยที่คนไทยทานอาหารและเครื่องดื่มลงสู่ร่างกายทั้งหมดล้วน นำเข้าเกินความจำเป็นของร่างกาย ทานเกินขนาด เกินปริมาณที่เหมาะในแต่ละมื้อ แต่ละวัน กลายเป็นส่วนเกินของร่างกาย การทานอาหารและเครื่องดื่มปัจจุบันเมื่อขาดอาหารประเภทใยอาหาร ขาดอาหารสมุนไพร และขาดกิจกรรมการออกแรงกาย การบริหารเลือดลม อวัยวะภายในต้องทำงานหนัก และนาน จึงกลายเป็นโทษต่อร่างกาย เรียกพฤติกรรมก่อโรค สะสมโรค โรคเหล่านี้จะแสดงตัวเมื่อคนมีอายุมากขึ้น อ่อนแอขึ้น สังคมผู้สูงอายุก็มีคนป่วยจำนวนมากด้วย คนไทยเกิดเป็นโรคไม่ติดต่อ จำนวน 8 – 15 ล้านคน ทั้งโรค เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หัวใจ ไต เส้นเลือดอุดตัน อ้วน มะเร็ง ผู้คนในสังคมเมื่อเกิดโรคก็สะดวกที่จะพึ่งพาโรงพยาบาล หมอ ยา ตามแนวทางโลกปัจจุบัน ประเทศไทยสูญเสียโอกาสทางครอบครัว เศรษฐกิจ สังคม จำนวนมาก
การปรับเปลี่ยนอาหารให้เป็นยา มีความจำเป็นอย่างสูงสุดในสภาพปัจจุบัน ลดปัญหางบประมาณในครอบครัว ลดงบประมาณในการสั่งซื้อยาจากต่างประเทศ ซึ่งประเทศไทยต้องขายข้าวไปต่างประเทศ 6 ปี จะได้งบประมาณซื้อยารักษาคนไทยในระยะ 2 ปี ลดปัญหาการเสียเวลาในการดูแลรักษา
ความรู้ที่ต้องให้ประชาชนได้รู้ คือ (อ้างอิง นายแพทย์บุญชัย อิศราพิสิษฐ์ เจ้าของโรงพยาบาล ใช้วิถีธรรมชาติขจัดโรคไม่ติดต่อ)
“5 ห้าม” ที่ต้องระวัง 1.ไม่จิตนาการเชิงลบ ความเครียดจะทำให้เกิดความทุกข์ เมื่อเกิดความทุกข์ ร่างกายก็เจ็บป่วยง่าย 2. ห้ามอ้วน ความอ้วนเป็นบ่อเกิดของโรคทั้งหลาย 3.ห้ามรับประทานน้ำตาล โรคส่วนใหญ่ เบาหวาน ความดัน ไขมันในเส้นเลือด ฯลฯ มาจากการรับประทานน้ำตาลมากเกินไป 4.ห้ามรับประทาน Trans Fat ส่วนใหญ่อยู่ในอาหารประเภททอด หรือผลิตภัณฑ์จำพวกครีมเทียม เนยเทียม 5.ห้ามรับประทานสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม มีโครงสร้างเดียวกับมนุษย์ ดังนั้นเมื่อสัตว์เป็นโรค โรคเหล่านั้นสามารถติดต่อเราได้โดยตรง
“5 ต้อง” ที่ควรทำ 1. กินผักและผลไม้สดก่อนอาหารในปริมาณครึ่งหนึ่งของความอิ่ม 2.ลดปริมาณข้าวเมื่ออายุมากขึ้น ผู้ที่อายุ 30 ปีขึ้นไป ควรลดปริมาณข้าวลง เพราะคาร์โบไฮเดรตไม่ใช่สิ่งจำเป็นต่อร่างกาย 3. ออกกำลังกาย ออกกำลังกายในระดับที่เหงื่อออก หัวใจเต้นแรง จะช่วยขับพิษและทำให้ระบบหมุนเวียนของน้ำเหลืองดีขึ้น 4.นอนให้หลับสนิทในช่วง 22.00 ข02.00 น. เพราะช่วงเวลาดังกล่าวร่างกายหลั่งโกรทฮอร์โมน ที่ทำให้เกิดกระบวนการฟื้นฟูร่างกาย 5. จินตนาการเชิงบวก จินตนาการเชิงบวก ส่งผลให้สุขภาพดี ร่างกายแข็งแรง
อาหาร 12 กลุ่ม : กินแล้วไร้โรค 1. กลุ่มที่ไม่ให้พลังงาน เช่น น้ำ ไฟเบอร์ 2. กลุ่มพืชกินใบ กินดอก 3. กลุ่มพืชกินฝัก กินผล กินหัว 4. กลุ่มผลไม้สุกแล้วไม่หวาน 5. กลุ่มโปรตีนไขมันน้อย เช่น ปลา เห็ด
อาหาร 12 กลุ่ม : ที่ต้องระวัง 6.กลุ่มพืชที่ให้แป้งสูง 7. ผลไม้สุกแล้วหวาน 8.ผลไม้ตามฤดูกาล 9. อาหารดัดแปลง 10. เครื่องดื่มที่มีน้ำตาล 11.เนื้อสัตว์ติดมัน และถั่วที่มีไขมันสูง 12. ไขมันสกัด
วัตถุประสงค์
1. เพื่อดูแลสังคมไทย สังคมผู้สูงอายุ
2. เพื่อลดการสั่งซื้อยาต่างประเทศ
3. เพื่อให้ครอบครัว ชุมชนพึ่งตนเอง พึ่งกันเอง
14 ก.พ. 2561